เกิดมาในครอบครัวที่มี “พ่อ” เป็นแบบอย่างของความขยันและชื่อสัตย์สุจริตในการประกอบอาชีพ จึงทำให้หนุ่มใหญ่ ฐิรัฐ นาถวิริยกุล ซึมซับสิ่งเหล่านั้นจากผู้เป็นพ่อ และมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเป็น “พ่อค้า” เขาจึงเริ่มต้นธุรกิจการค้าของตนเองตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ทำมาแล้วทั้งร้านกาแฟ ขายเครื่องประดับเงิน ร้านอาหาร จนกระทั่งเรียนอยู่ปี 2 มีโอกาสได้พบกับ มร.พอล เคนนี่ เจ้าของและผู้ก่อตั้งเฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุโรปในช่วงปี 1740-1840 แบรนด์ The Classic Chairs ที่โด่งดังในอังกฤษและออสเตรเลีย มานานกว่า 40 ปี ด้วยความเป็นคนหนักเบาเอาสู้จึงทำให้ ฐิรัฐ ได้กลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญ จนทำให้ The Classic Chairs เปลี่ยนเป็นเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทยสัญชาติอังกฤษ ในปัจจุบัน

“ตอนเด็กอยากเป็นพ่อค้า เพราะมีพ่อเป็นพ่อค้า อยากขายนู่นขายนี่ ตอนแรกทำร้านกาแฟสดแต่ไม่รอด เพราะตอนนั้นไม่มีใครรู้จักกาแฟเมล็ด ต้องมานั่งทำเองทั้งหมด เปิดร้านกาแฟตอนเรียน ปี 1 พอไม่รอดก็ไปทำร้านอาหารเริ่มต้นจากให้คนอื่นทำแล้วมาเสิร์ฟในร้าน ทำไปเรื่อยๆ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ขยายไป 4-5 สาขา พอเมืองไทยปิดเทอมก็ไปขายเครื่องประดับเงิน หิ้วไปขายที่สิงคโปร์ แรกๆ ขายแผงลอยรายได้วันละแสนกว่าบาท ต่อมาก็เลยขายส่ง ทำอย่างนี้จนจบปี 4 แต่จุดหักเหที่หันมาทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เต็มตัวเพราะรู้จัก มร.พอล เคนนี่ เขากำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ สู้ค่าแรงที่อังกฤษไม่ไหว ส่วนตัวเราก็มีพื้นฐานเพราะพ่อทำเฟอร์นิเจอร์มุกส่งออกอยู่ คุยกันถูกคอ ตอนแรกๆ เราก็รับจ้างผลิตให้อย่างเดียว ทำส่งไป แล้วเขาก็ชวนให้มาทำงานด้วยเป็นผู้ประสานงานดูแลลูกค้ากลุ่มโรงแรม นอกจากพ่อแล้ว ผมก็ได้เรียนรู้การทำธุรกิจจาก เคนนี่ เขาก็เหมือนพ่อคนที่สองของผมเหมือนกัน”

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี เคนนี่ จึงได้ชักชวนให้ ฐิรัฐ มาร่วมธุรกิจในฐานะหุ้นส่วน The Classic Chairs อย่างเต็มตัว และได้มีการขยายธุรกิจออกไปอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทยที่มีลูกค้าระดับไฮเอนให้ความสนใจเฟอร์นิเจอร์คลาสสิกหรูหรามากขึ้น ในปี พ.ศ.2554 ฐิรัฐ จึงได้เปิดตัว The Classic Chairs ในฐานะแบรนด์ไทยสัญชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันโชว์รูมมี 3 สาขา ได้แก่ เดอะ คลาสสิค แชร์ส แฟล็กชิพ สโตร์ สาขาเพชรบุรีตัดใหม่ สาขาเอกมัย และสาขาคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (CDC) และมีตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วโลกกว่า 20 ประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อาหรับเอมิเรตส์ จีน อินโดนีเซีย อินเดีย และเวียดนาม

“ในช่วงที่ร่วมทุนย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทยแรกๆ ลูกค้าต่างประเทศไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือคนไทย ยังเข้าใจว่าผลิตที่อังกฤษ แต่ตอนนี้ผมภูมิใจมากที่ทุกคนรู้ว่า The Classic Chairs เป็นแบรนด์ไทยผลิตโดยช่างฝีมือคนไทย แต่มากไปกว่านั้นความสุขมันไม่ได้เกิดจากผลกำไร แต่ความสุขเกิดจากการที่ผมได้ทำเฟอร์นิเจอร์มากกว่า เพราะผมกล้าพูดได้ว่าแบรนด์ของเราเป็นงานฝีมือ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นไม่ใช่ของเลียนแบบ แต่เราดึงจิตวิญญาณความเป็นเฟอร์นิเจอร์ในยุคนั้นๆ ออกมา แม้แต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ในสมัยต้นกำเนิดเขาใช้อย่างไร ปัจจุบันเราก็ยังใช้อย่างนั้น”

เพราะความที่คลุกคลีอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ และความสนิทสนมกับเจ้าพ่อแอนธีคตัวจริงอย่างเคนนี่ จึงทำให้ ฐิรัฐ หลงใหลและกลายเป็นนักสะสมศิลปวัตถุประเภทเฟอร์นิเจอร์ไปด้วย จนถึงขั้นอยากจะเปิดพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเลยทีเดียว

“เวลาว่างผมไม่ค่อยมี เพราะแยกไม่ค่อยออกกับเรื่องงาน คือถ้าไม่ได้ทำงานผมก็ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์

ของโบราณ และประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษารากเหง้าความเป็นมาของสิ่งต่างๆ และเพิ่มพูนความรู้ พร้อมทั้งยังสามารถนำมาปรับใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้ หรือไม่ดูแคตตาล็อกประมูลของเก่า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของเก่าอย่างอื่นผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าเฟอร์นิเจอร์ อย่างโบราณวัตถุอื่นๆ ถ้วยชาม สังคโลก หรือภาพเขียน จะเก็บบางชิ้นที่รู้สึกชอบจริงๆ บางชิ้นซื้อมามีพรรคพวกเพื่อนกันชอบก็ขายต่อไป บางชิ้นก็นำไปใช้ตกแต่งบ้าน ตอนนี้ก็มีประมาณหนึ่ง กำลังจะทำสตูดิโอเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเล็กๆมีพื้นที่ที่จะสามารถจัดงานประมูลได้ อีกอย่างก็การเดินทางไปท่องเที่ยวไปต่างประเทศ เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์และนำมาปรับใช้ในธุรกิจของตนเอง อันนี้ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”

ไม่เพียงแต่ The Classic Chairs เท่านั้น ฐิรัฐยังได้แตกไลน์แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ขึ้นอีก 2 แบรนด์ ได้แก่ ปิแอร์ ฟินลิปส์ (Pierre Philippe) เฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุโรปคันทรีในช่วงศตวรรษที่ 18 ถึง 19 โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก French Provincial ซึ่งสะท้อนวิถีดั้งเดิมแบบคฤหาสน์ในชนบทของฝรั่งเศส ที่ยังคงมีความประณีต หรูหรา แต่แฝงไปด้วบความอบอุ่น น่าค้นหา เน้นการโชว์ลวดลายไม้ได้อย่างเต็มที่ นิยมใช้สีสบายตาไม่ฉูดฉาดเหมือนสีที่ได้จากการย้อมธรรมชาติ และแบรนด์ โมนาโก ลิฟวิ่ง (Monaco Living) เฟอร์นิเจอร์สไตล์ Art Deco อยู่ในช่วงปี 1930 ซึ่งเป็นยุคที่ปารีสกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หลังจากมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 โดยสไตล์นี้มีการใช้สีสันที่มีความสง่าเท่ด้วยวัสดุที่หายากและแปลกตา เส้นสายอ่อนช้อยและมีการใช้รูปทรงของเรขาคณิต ในด้านของสีอาจใช้สีเบจ ครีม น้ำตาล ขาว-ดำ หรือเล่นสีสันสดใสกับเฉดสีที่ฉูดฉาดอย่างสีเขียวมรกต หรือสีม่วงแดง ตัดกับสีของโลหะ สีทอง สีเงิน ซึ่งเป็นสไตล์ที่สามารถผสมผสานความหรูหราสง่างามและความทันสมัยได้อย่างลงตัว

“สิ่งสำคัญที่ทำให้รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน คือได้ค้นพบว่าตัวเองชอบอะไร และได้ทำในสิ่งที่รัก ทำให้ทุกขณะในการทำงานของผมคือความสุข” ฐิรัฐ กล่าวทิ้งท้าย