พิธีครอบครูและมอบสายมงคลให้ผู้เรียนมวย
การต่อสู้ด้วยการใช้อวัยวะของร่างกายเป็นอาวุธนั้นเป็นศาสตร์ที่มีการฝึกฝนอย่างชำนาญเพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยการใช้มือกำหมัดชก-ต่อย ใช้แขนงอศอกฟันใช้ขายกเข่าเข้าตี และใช้ขาฟาดเตะนั้น ผู้คนในแถบอาเซียนมีความสามารถฝึกได้ดีและรู้จักกันในชื่อมวยไทย ซึ่งถือเป็นมรดกการต่อสู้ป้องกันตัวที่แต่ละชาติมีท่วงท่าไม่เหมือนกันสำหรับคนไทยนั้นใช้ทั้งเป็นการต่อสู้ ป้องกันตัวและแข่งขันเป็นกีฬา อาทิตย์นี้ขอตาม...มรดกการต่อสู้ชนิดนี้จากการค้นหาตำรับตำราเก่า ในฐานะที่มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติที่มีประวัติมายาวนานจนหายุคสมัยได้ยากว่าเกิดขึ้นอย่างไร ที่รู้กันก็คือการคัดคนเข้ารับใช้ในราชสำนักหรือเป็นผู้ดูคุ้มครองป้องกันเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่นั้น มักใช้วิธีการชกมวยล้มศัตรูและการต่อสู้ประลองฝีมือเอาชนะกันเพื่อคัดเลือกเช่นเดียวกับประลองดาบ-กระบี่ ดังนั้น นักมวยที่มีฝีมือดีจึงมีโอกาสถวายได้เข้าตัวรับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย และเป็นไพร่หลวงป้องกันพระนคร ป้องกันพระราชวัง โดยมีทนายเลือกผู้เป็นคนในกรมกองที่ดูแลนักมวยนักรบโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้แก่พระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายหรือขุนนางผู้ใหญ่ แต่วันมวยไทยนั้นกลับให้ความสำคัญกับ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือพระเจ้าเสือ ว่า พระองค์นั้นโปรดการชกมวยมากจนมีเรื่องปลอมพระองค์ออกมาชกมวยกับชาวบ้านจนรู้จักกับสิงห์ แล้วยังเล่าต่อไปว่าเอาชนะคู่ต่อสู้ถึง 3 คน คือ นายกลาง หมัดตายนายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ที่ต่างพ่ายแพ้จากฝีมือการชกของพระองค์ ซึ่งในหลักฐานประวัติศาสตร์กลับไม่มีเรื่องปลอมตัวชกมวย นอกจากละครเรื่อง พันท้ายนรสิงห์ที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ แต่งเป็นละครไว้และเป็นที่รู้จักกันอย่างดี ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากจะมีตำรามวยตำรับพระเจ้าเสือเกิดขึ้น ด้วยรู้กันว่าพระเจ้าเสือปลอมตัวต่อยมวยกับชาวบ้านตามละคร จึงตั้งชื่อให้มีความเชื่อถือในตำรานั้นมากกว่า ส่วนตำรามวยของเก่าที่ปรากฏในสมุดไทยก็คัดลอกกันไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นตำรับของใคร ซึ่งเห็นทีต้องทบทวนให้มีการศึกษาอย่างจริงจังว่า มวยไทยนั้นมีต้นแบบและตำรามวยนั้นที่มาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะพระเจ้าเสือในพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศนั้นได้กล่าวว่า ทรงมีพระอุปนิสัยชั่ว ทรงมักมากในกามคุณ และทรงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เนืองๆ จน ผู้คนจึงออกพระนามว่า “พระเจ้าเสือ”เปรียบว่าทรงร้ายดังเสือ อันผิดไปจากคุณลักษณะนักรบนักสู้และการยึดถือมั่นในครูบาอาจารย์ของนักมวย
สำหรับนักมวยที่สร้างชื่อเสียงรู้จักกันดีนั้น คือนายขนมต้ม ผู้ถูกจับเป็นเชลย และถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงอังวะ ประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ.2310 นั้น ได้มีการเล่าไว้ว่าเมื่อพม่าจัดการฉลองชัยชนะที่ทำสงครามอยุธยาจับได้เชลยกวาดต้อนมาจำนวนมาก ครั้งนั้นสุกี้ พะนายกองได้คัดนายขนมต้มขึ้นชกกับนักมวยพม่า นายขนมต้มสามารถชกชนะนักมวยพม่าถึง 10 คน ซึ่งมีผู้เขียนเล่าไว้ว่า“นักมวยพม่าได้แพ้แก่นายขนมต้มหมดทุกคน จนพระเจ้ากรุงอังวะถึงกับตรัสชมเชยว่า คนไทยถึงแม้จะไม่มีอาวุธในมือมีเพียงมือเปล่า สองข้าง ก็ยังมีพิษสงรอบตัว” นักมวยอีกคนหนึ่งที่รู้จักกันดีคือนายจ้อยหรือทองดี ฟันขาว ชาวเมืองพิชัยที่สามารถชกมวยชนะคู่ต่อสู้ ทำให้ได้รับการคัดเลือกเป็นทหารเอกคู่ใจของพระยาตาก (สิน) และทำความชอบจนต่อมานั้นได้เป็น พระยาพิชัย (จ้อย) ครองเจ้าเมืองพิชัย ซึ่งทุกคนรู้จักกันในชื่อ พระยาพิชัยดาบหัก
ตำรามวยไทยที่ใช้เรียนในสมัยก่อน
มวยไทยในสมัยต่อมาในรัชกาลที่ 6 นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากการพันมือด้วยเชือก เรียกว่า คาดเชือกนั้นมาเป็นการชกด้วยการสวมนวมตามอย่างต่างชาติที่มีการแข่งขันชกมวยเป็นกีฬาแทนการสู้เอาชนะกันในศึกสงคราม นับคะแนนแพ้ชนะ มีการกำหนดยก โดยให้นักมวยทั้งสองข้างขึ้นชกบนเวทีแทนการสู้รบในสนาม โดยมี มุมแดงและมุมน้ำเงินตามแบบการชกมวยสากล ทำให้มีค่ายนักมวยเกิดขึ้นหลายค่ายและมีนักมวยที่ฝีมือดีหลายคน ภายหลังเจ้าเชต คหบดีผู้มีชื่อเสียงนั้นได้ตั้งสนามมวยในที่ดินของตนเอง (สวนเจ้าเชต) จัดชกมวยเพื่อนำรายได้ไปบำรุงกิจการทหาร และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 การชกมวยแข่งแพ้-ชนะนั้นจึงหยุดไป เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง การแข่งขันชกมวยไทยจึงกลับมานิยมขึ้นอีกครั้งและมีจัดการชกเพื่อให้เป็นนักมวยผู้ชนะตามเวทีต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันมวยไทยนั้้นได้รับการยกย่องเป็นมรดกการต่อสู้ของชาติที่สำคัญเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ตำรามวยไทยที่อ้างตำราพระเจ้าเสือ
วันมวยไทยที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
พระเจ้าเสือ
พระยาพิชัยดาบหัก
นิยายนายขนมต้มของ คมทวน คันธนู
ตำรามวยไทยในสมุดไทย
ท่วงท่าของมวยไชยา
ท่า-จรเข้ฟาดหาง
อภิเดช สิงห์หิรัญ จอมเตะจากบางนกแขวก
นายขนมต้ม
ท่าเตะ
มวยไทย-ยัง หาญทะเล-กับมวยจีน-จิ๊ฉ่างท่วงท่าของมวยไชยา
หมื่นมวยมีชื่่อชกมวยไทยหน้าพระที่นั่ง
โพล้ง เลี้ยงประเสริฐ ฉายามวยตีนลิง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี