วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เมืองเชียงของและเมืองห้วยทรายของลาว
ในโอกาสงานเทศกาลสงกรานต์นั้น กระทรวงวัฒนธรรมโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้มีการจัดงานสงกรานต์อาเซียนขึ้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาวัฒนธรรมระหว่าง ไทย-ลาว-เมียนมา และกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ของเชียงของ ซึ่งมีประเพณีสืบเนื่องร่วมกันในวันสงกรานต์ดังกล่าว ด้วยเหตุที่อำเภอเชียงของนั้น เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงรายมีภูมิประเทศทั้งพื้นที่ราบสลับกับเทือกเขา ด้านตะวันออกบางส่วนอยู่ติดกับแม่น้ำโขง โดยฝั่งตรงข้ามนั้นมีเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงทำให้มีความผูกพันกันมาแต่บรรพบุรุษ หากศึกษาความเป็นมาของเชียงของแล้วพบว่าในอดีตเชียงของเคยรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยหิรัญนครเงินยาง (เชียงแสน) มีชื่อเมืองว่า “ขรราช” ต่อมามีฐานะเป็นเมืองชื่อ “เมืองเชียงของ” อยู่ในความปกครองของนันทบุรี (น่าน) โดยเจ้าครองนครน่านนั้นได้ตั้งให้เจ้าอริยวงศ์ เป็นเจ้าเมืองเชียงของ เมื่อปีพ.ศ.1805 มีเชื้อสายครองเมืองเชียงของสืบต่อมาจนถึงเจ้าเมืองคนสุดท้าย คือ พญาจิตวงษ์วรยศรังษี ปีพ.ศ.2453 (รศ.129) ภายหลังมีฐานะเป็นอำเภอ ขึ้นกับจังหวัดเชียงรายมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีพญาอริยวงษ์ (น้อย จิตตางกูร) เป็นนายอำเภอคนแรก เมื่อพ.ศ.2457
.jpg)
เจดีย์ทรายสายสัมพันธ์สามชาติ
ปัจจุบันเชียงของแห่งนี้ถือเป็นจุดรวมของกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม เช่น ไทลื้อ ขมุ ชาวมูเซอ แม้ว เย้า โดยเฉพาะกลุ่มไทลื้อนั้น อาศัยอยู่ที่บ้านห้วยเม็ง และบ้านศรีดอนชัย ซึ่งอพยพมาลงจากทาง สิบสองปันนา ประเทศจีนตอนใต้ ปัจจุบันนั้นประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก และกลุ่มขมุที่ตั้งอยู่บ้านห้วยกอกนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีอยู่ไม่มากนัก สรุปว่าชาวเชียงของส่วนมากทำนา ทำไร่ข้าวโพด สวนส้ม สวนลิ้นจี่ สวนส้มโอ และพืชผักต่างๆ เป็นต้น จากเชียงของไปเชียงแสน ประมาณ 13 กิโลเมตร มีสวนป่าห้วยทรายมานที่มีจุดชมวิวสองฝั่งไทย-ลาว มีเส้นทางเลียบน้ำโขงเริ่มตั้งแต่บ้านหาดไคร้ไปถึงบ้านหัวเวียง ซึ่งมีท่าจับปลาบึก ซึ่งในทุกวันที่ 17-19 เมษายน มีการจัดพิธีบวงสรวงและจับปลาบึกที่หาดูได้ที่เดียวในโลกและถือเป็นการอนุรักษ์ปลาบึกไม่ให้สิ้นพันธุ์และเป็นการสืบทอดการล่าปลาบึกให้คงอยู่เป็นประเพณีของชาวบ้านหาดไคร้ เทศกาลสงกรานต์จึงมีความสำคัญทำให้บริเวณท่าปลาบึกและท่าเรือบั๊ก จัดงานมหาสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ทุกปี โดยมีสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากมาย เช่น กล้วยอบเนยศรีลานนา-ผ้าทอศรีดอนชัย ที่มีการสืบทอดมาแต่โบราณจากบรรพบุรุษของชนชาวไทลื้อ และสินค้าหัตถกรรมบ้านสถาน ทุกปีช่วงเดือนเมษายน ชาวประมงเชียงของจะลงไปเก็บไก คือสาหร่ายน้ำจืดที่เกิดในแม่น้ำโขงมาตากแห้งบนคาและปรุงรสด้วย งา ข่า ตะไคร้ แล้วทอดกินส่งเป็นสินค้าโอท็อป
.jpg)
การรดน้ำขอพรตามประเพณีโบราณ
ความเป็นเมืองหน้าด่านของเชียงของที่มีความสำคัญมาตั้งแต่อดีตนั้นได้ทำให้มีการสร้างสะพานมิตรภาพที่ 4 เพื่อเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมาลาว จีน ซึ่งทำให้มีการกำหนดแผนปรับเปลี่ยนให้เป็นเมืองสองแบบคือเขตพัฒนาและเขตวัฒนธรรม ดังเห็นได้จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ทำให้เชียงของเป็นเส้นทางผ่านสินค้าและผู้คนส่วนใหญ่ ย้ายไปยังท่าเรือบั๊กในเขตหัวเวียง โดยพัฒนาเศรษฐกิจ-การค้า ระบบขนส่งสู่อาเซียน ส่วนพื้นที่เมืองเก่า นั้นเป็นเขตวัฒนธรรมที่มีการส่งเสริมให้เป็นแหล่งเรียนรู้-อนุรักษ์ ตั้งรับปัญหาจากการท่องเที่ยว และการรุกคืบจากสินค้าทางเศรษฐกิจ ที่อาจทำให้วิถีเมืองเชียงของและอัตลักษณ์วัฒนธรรมเดิมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการระเบิดแก่งแม่น้ำโขงที่อาจส่งผลกระทบความมั่นคงของไทย-ลาว จากการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำ และทำลายระบบนิเวศน์ จึงเป็นปฐมบทหนึ่งของความตั้งใจจริงที่คนในพื้นที่ได้ร่วมกันรักษาสืบทอดวิถีวัฒนธรรมเมืองชายแดนริมแม่น้ำโขงให้คงอยู่ต่อไป
.jpg)
รำสายสัมพันธ์ไทย-ลาว-เมียนมา
.jpg)
กลุ่มชาติพันธุ์ร่วมในแม่น้ำโขง
.jpg)
รมว.วัฒนธรรม เปิดสงกรานต์อาเซียน
.jpg)
ดาราสาวจากลาวร่วมงาน

ชาวเชียงทองผู้แจ่มใส

สาวเมียนมา

สาวล้านนา

สาวลาว

แม่น้ำโขงที่ต้องมีการเฝ้าระวังตลอดเวลา

สะพานมิตรภาพที่ 4 เชื่อมฝั่งลาว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี