“ชาลี อินทรวิจิตร” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ผู้ประพันธ์คำร้อง-ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปีพุทธศักราช 2536 มีผลงานประพันธ์คำร้องเพลงที่มีชื่อเสียงมากมาย กว่า 1,000 บทเพลง และอีกไม่นานนี้บทเพลงสุดคลาสสิกเหล่านั้น จะถูกนำมาขับขานอีกครั้งโดยศิลปินแห่งชาติและนักร้องชื่อดังมากมาย อาทิ สุเทพ วงศ์กำแหง, สวลี ผกาพันธุ์, จินตนา สุขสถิตย์, สันติ ลุนเผ่, เศรษฐา ศิระฉายา, ธานินทร์ อินทรเทพ, ผุสดี เอื้อเฟื้อ พร้อมด้วยวงเดอะฮอทเปปเปอร์, นันทิดา แก้วบัวสาย, สินจัย เปล่งพานิช, ตวงสิทธิ์ เรียมจินดา, เอกชัย ศรีวิชัย, กัน เดอะสตาร์, แก้ม เดอะสตาร์ และ ไก่-อัญชุลีอร บัวแก้วที่กว่าจะรวมศิลปินเหล่านี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งทุกคนมีความปรารถนาที่จะสืบสานงานเพลงอมตะของสุดยอดครูเพลงอย่างครูชาลี
ให้ยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน ในวาระพิเศษ 93 ปี ของ ครูชาลี อินทรวิจิตรบริษัท โคลีเซียม อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด โดยพรพิมล มั่นฤทัย ประธานกรรมการในฐานะผู้ครอบครองลิขสิทธิ์ทุกบทเพลงอมตะของครูชาลี อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้จัดคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อคอนเสิร์ตว่า “93 ปี ชาลี อินทรวิจิตร เพลงหนังคู่แผ่นดิน” โดยจุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตครั้งนี้มาจากความตั้งใจของ คมน์ อรรฆเดช โดยมี พรพิมล มั่นฤทัย ในฐานะผู้สานต่อความฝันของสามี และก่อนที่จะได้พบกับความตราตรึงใจในคอนเสิร์ตวันนั้น “สตาร์เรโทร” ขอโอกาสนำทุกท่านร่วมย้อนวันวานความประทับใจไปกับบรมครูท่านนี้
ชีวิตวันนี้ที่เรียบง่าย
“ปกติผมอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย เพราะว่าอายุก็ 93 แล้ว ได้แต่ออกกำลังบ้าง แกว่งแขนไปมานิดหน่อย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แล้วผมเป็นคนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมก็เลยจะไม่ทานเนื้อ ไม่ทานสัตว์ใหญ่ ส่วนเรื่องทำสวนปลูกต้นไม้ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของแฟนผม (หัวเราะ) เพราะว่าเขาเป็นคนที่รักต้นไม้มาก (คุณธิดา อินทรวิจิตร คู่ชีวิตได้กล่าวเสริมว่า “ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากว่า 18 ปี แล้วค่ะ อยู่ด้วยกันเหมือนเป็นเพื่อน เป็นคู่คิด ทำกับข้าวให้ทาน เขาจะชอบทานปลาน้ำจืด ไม่มีเมนูใดเป็นพิเศษ เพียงแค่ว่าขอให้ไม่เผ็ด เพราะว่าไม่ทานพริก”) ผมเกิดที่สมุทรสาคร ครอบครัวทำหลายอาชีพครับ
บางทีก็ทำเกี่ยวกับทะเล อยู่กับเรือโป๊ะ แต่ผมเป็นคนที่เหม็นคาวปลา และไม่ทานปลาทะเลด้วย แต่ถ้าเป็นปลาน้ำจืดแฟนผมทำให้ทานผมก็ทานได้ ปลาน้ำจืดจะไม่ค่อยเหม็นคาวเท่าไหร่ อย่างปลาทับทิม ปลาเนื้ออ่อนนี่คือชอบมาก ส่วนเรื่องการแต่งเพลงนั้น ทุกวันนี้ผมยังคงแต่งอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าจะไม่ยอมแต่งโดยที่เอาเนื้อร้องไปก่อน เพราะถ้าเอาเนื้อร้องไปก่อนจะต้องแก้ไขอีก เมื่อมันเข้ากับทำนองไม่ได้ ดังนั้นจะต้องแต่งทำนองมาให้ผมก่อน แล้วก็ใส่เนื้อเข้าไป เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งแต่งไป แต่ว่าผมจำชื่อเพลงไม่ได้แล้วนะคือมีศิลปินที่เขาอยากร้องเพลงในแบบเก่าๆ มาให้เราแต่งให้
จุดเริ่มต้นบนถนนสายดนตรี
ชีวิตในวงการบันเทิงของผม เริ่มต้นมาจากการเป็นนักแสดงละครเวที และแสดงภาพยนตร์มาก่อน แต่แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไปกลายมาเป็นคนเขียนเพลง และได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเรา และประสบความสำเร็จสูงสุดก็ด้วยบทเพลงจากภาพยนตร์ ผมเริ่มแต่งเพลงเมื่อตอนหนุ่มๆ ผมเคยไปฟังเพลงกับ “ฉลอง สิมะเสถียร” เราเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน ผมไปยืนมองดู “พี่สถาพร มุกดาประกร” ร้องเพลง ผมก็หันไปมองหน้ากับฉลอง บอกว่าเรามาเป็นนักร้องดีกว่า โอ้โห! เรียกว่าพี่พรร้องเพลงในประเทศไทยต้องยกนิ้วให้แก แม้กระทั่ง “พี่ล้วน ควันธรรม” อาจารย์ผมยังเทียบไม่ได้กับพี่สถาพร
พี่เขาร้องเพลงที่นิวโอเดียนห้าแยกพลับพลาไชย โดยมี “อาจารย์นารถ ถาวรบุตร” เป็นคอนดักเตอร์ เราฟังแล้วคือประทับใจมาก พวกนิสิตหญิงจุฬาฯก็ไปนั่งฟังกันเป็นตับเลย แสดงว่าพี่พรนี่เป็นขวัญใจของเขามาก ผมก็เลยอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เลยชวนฉลองมาเป็นนักร้องดีกว่า แต่ว่าเราจะไปให้ใครสอนดีล่ะ ก็เลยไปหา “พี่ล้วน ควันธรรม” ซึ่งเขาอยู่วงดนตรีแชมเบอร์มิวสิค และเขาก็สอนผมว่าจะต้องหัดแต่งเพลงด้วย ถ้าแต่งเพลงด้วยร้องด้วย จะเหนือกว่าคนอื่น เวลาเล่นละครก็เหมือนกัน
ถ้าร้องเพลงได้ เป็นนักร้องได้ก็จะเหนือกว่าคนอื่น คนอื่นเล่นละครร้องเพลงไม่ได้ ต้องเอาเสียงคนอื่นมาร้อง เขาก็ไม่เอาเพราะฉะนั้นนักร้องเนี่ยร้องเพลงได้เล่นละครได้จะเหนือกว่าคนอื่น เราก็เลยไปเรียนร้องเพลง และหัดแต่งเพลงด้วย เพลงแรกที่แต่งคือเพลง “พันท้ายนรสิงห์” ซึ่งไม่ใช่เพลงในหนังนะ เป็นพันท้ายนรสิงห์ของเราเองแล้วก็ลืมไปแล้ว และก็มาแต่งเพลงมาสลุง เป็นเพลงในละครเรื่องมาสลุง เรื่องของชาวพม่า และเพลงที่แต่งแล้วดังที่สุดก็คือ “เย้ยฟ้าท้าดิน” แต่แต่งไม่จบ เพราะว่าเขาบอกกินเวลาของละคร ก็เลยไม่ได้แต่งท่อนจบ ตอนหลัง “คุณสัมพันธ์ อุมากูล” ก็ไปแต่งต่อให้ครบ
แรงบันดาลใจในการแต่งเพลง
ไม่มีเทคนิคอะไรครับ มันอยู่ที่ไอเดียของเราเอง แต่ผมชอบแต่งเมื่อมีทำนองมา ไม่ชอบแต่งที่จะต้องเอาคำร้องไปใส่ทำนอง เพราะว่าผมจะต้องแต่งหลายหน (มีหลายเพลงที่บ่งบอกถึงสถานที่นั้นๆ) ใช่ครับมีเพลงท่าฉลอม เจ้าพระยา แม่กลอง กว๊านพะเยาแสนแสบ แล้วอย่างเพลง สาวนครศรี ก็แต่งให้ภรรยาคนแรก “คุณศรินทิพย์ ศิริวรรณ” หรือ “ไพริน คอลลิน” เขาเป็นฮอลันดานะพ่อเขาเป็นฮอลันดามาสร้างสนามบินดอนเมืองแล้วก็มารักกับคนไทย และชีวิตผมตอนหลัง “คุณวิจิตร คุณาวุฒิ” มาเห็นชอบ เลยให้ไปเล่นละคร โดยผมเป็นคนสร้างละครเรื่องดวงตาสวรรค์ และได้ “คุณวิจิตร คุณาวุฒิ” กำกับฯ ตุ๊กตาทอง 24 ตัว
เพลงที่ถือเป็นสูงสุดในชีวิต
ผมได้แต่งเพลงสดุดีมหาราชา รู้สึกเป็นเกียรติและประทับใจอย่างสูงสุด เป็นเพลงของแผ่นดินที่เรามีโอกาสได้แต่ง ซึ่งผมยังบอก “คุณสมาน กาญจนะผลิน” เลยว่าเพลงนี้จะต้องเป็นเพลงที่ทำให้เรามีความสุขเพราะว่าเราได้ทำให้พระเจ้าอยู่หัว แต่งให้พระเจ้าอยู่หัว และแต่งให้พระราชินี สมัยก่อนเพลง ถ้าแต่งให้พระเจ้าอยู่หัว ก็จะเฉพาะพระเจ้าอยู่หัว ให้พระราชินีก็ต้องเป็นอีกเพลงหนึ่งแต่เดี๋ยวนี้เราเอาเพลงนี้มาคู่กัน “ชรินทร์ นันทนาคร” เป็นคนสร้างเพลงนี้ในหนังของเขาหนังเรื่อง “ลมหนาว” และมีเพลงสดุดีมหาราชาที่เราแต่งเข้าไปอีกเพลง และมีเพลงที่แต่งให้กับพระราชินีด้วย “โสมส่องมาจากแดนฟ้าไกล แก้วตาขวัญใจประชา คู่บุญกษัตริย์ขัตติยา พระคือแม่ฟ้าของเรา ยิ่งกว่าสายฝนเย็นฉ่ำฟ้า พระกรุณาเหมือนดั่งลมหนาว เปลี่ยนชะตาชีวิตที่อับเฉา ให้เราเป็นเทวาพาคู่ฝัน” ผมนำชื่อเพลงพระราชนิพนธ์มาร้อยเป็นเพลง สมเด็จมหาราชินี
ศิลปินนักร้องที่ร้องเพลงของครูชาลีแต่ง แล้วรู้สึกประทับใจ
มีหลายคนนะ ผู้ชายก็คงจะเป็นคุณสุเทพ, คุณชรินทร์, คุณธานินทร์ แล้วก็คุณสันติ ลุนเผ่ ฝ่ายผู้หญิงก็ คุณสวลี ผกาพันธุ์, จินตนา สุขสถิตย์, อุมาพร บัวพึ่ง คนนี้ถูกใจผมที่ร้อง “ปล่อยฉันไป ปล่อยฉันไป เมื่อหัวใจ เธอมี คนคอยบัญชา น้ำตาฉันจะปริ่ม แม้ยิ้มจะปร่า มันหมดคุณค่า สำหรับตัวเธอ” อุมาพรบัวพึ่ง ร้องเพลงของผมเยอะ แล้วก็ผู้ชายอีกคน ดอน สอนระเบียบ เพลง ข้ามากับพระ เขาร้องแล้วผมยกนิ้วให้เลย
กับบทบาทของการเป็นผู้กำกับหนังและนักแสดง
ผมกำกับหนังไม่กี่เรื่องหรอก แล้วก็มาแต่งเพลง จะเน้นแต่งเพลงมากกว่า เพราะว่ากำกับหนังเนี่ยมันเหนื่อย เหนื่อยใจ ผมจำได้ว่าผมกำกับหนังอยู่เรื่องหนึ่ง แล้วผมแต่งเพลง “ทะเลไม่เคยหลับ” ผมก็เอาข้าวมาจานหนึ่งแล้วก็มีกับข้าวมา และไปนั่งกินคนเดียวถ้าเราไปนั่งกินกับนักแสดงเราก็กลัวว่าเขาจะไม่มีความสุข เพราะเขาก็เกรงใจเรา เราก็เลยไปนั่งทานข้าวที่ริมทะเล และมองออกไปเห็นหินก้อนหนึ่งมันปักอยู่ที่ทะเลสูงประมาณแขนเราได้ มันมีรูอยู่เล็กนิดเดียว แล้วผมไปนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นเกือบเดือนรูมันกว้างขึ้นๆ เพราะว่าน้ำทะเลมันซัดนี่แหละจึงเป็นจินตนาการทำให้เกิดเพลงทะเลไม่เคยหลับ
“มองซิมองทะเล เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน บางครั้งมันบ้าบิ่น กระแทกหินดังครืนครืน ทะเลไม่เคยหลับใหล ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น บางครั้งยังสะอื้นทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป ทะเลหัวใจของเราแฝงเอารักแอบเข้าไว้ ดูซิเป็นไปได้ ตื่นใจเหมือนดังทะเลครวญยามหลับใหล ชั่วคืนก็ถูกคลื่นฝันปลุกฉันรัญจวน ใจรักจึงเรรวนมิเคยจะหลับเหมือนกับทะเล” ผมรักเสียงเพลงอย่างมาก คิดว่าจะอยู่กับบทเพลง จะแต่งเพลงไปจนกว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง หรือไม่มีวิญญาณที่จะทำต่อไป
คอนเสิร์ตใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“คอนเสิร์ต 93 ปี ชาลี อินทรวิจิตร เพลงหนังคู่แผ่นดิน” ผมเป็นคนเลือกเพลงและศิลปินรับเชิญด้วยตัวเอง แฟนๆ ที่เข้ามา
ชมคอนเสิร์ตจะได้ดื่มด่ำไปกับบทเพลงจากภาพยนตร์ที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต อาทิ บ้านทรายทอง, เรือนแพ, จำเลยรัก, น้ำเซาะทราย, ท่าฉลอม, แสนแสบ, ดอกแก้ว, เท่านี้ก็ตรม, ทะเลไม่เคยหลับ และ เทวดาเดินดิน, สายชล จาก ภาพยนตร์เรื่อง เรือนแพ, หยาดเพชร จาก ภาพยนตร์เรื่อง เงินเงินเงิน
นอกจากนี้ยังมีเพลงรักที่โด่งดัง และอยู่ในความทรงจำของผู้ฟังอีกมากมาย เช่น เธออยู่ไหน, เหมือนไม่เคย, สักขีแม่ปิง, ว้าเหว่, ป่านฉะนี้, ครวญ และ จูบฉันแล้วจงตายเสีย ซึ่งก็จะมีนักร้องศิลปินคุณภาพระดับประเทศหลากหลายรุ่นมาร่วมกันขับร้อง ผมก็ต้องขอขอบคุณศิลปินแขกรับเชิญทุกท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมบนเวทีในคอนเสิร์ตครั้งนี้ สำหรับผมเองก็จะร้องเพลงด้วย แต่จะร้องเพลงอะไรนั้นขออุบเอาไว้ก่อน ที่ร้องแน่นอนคือเพลง ยามชัง เพราะว่า “คุณสุพล โทณะวณิก” เขาแต่งขึ้น “ยามเช้า...พี่ก็เฝ้าคิดถึงน้อง ยามสาย...พี่หมายจ้องเที่ยวมองหายามบ่าย...พี่วุ่นวายถึงกานดา
ยามเย็น...ไม่เห็นหน้าผวาทรวง” ผมก็เลยเขียนมาเพื่อแก้กัน ดวลเพลงกัน “ยามชัง พี่ยิ่งช้ำทุกยามเช้าไม่เห็นเจ้าเหงาจิตคิดจนเกือบสาย วานอย่าชังให้พี่ช้ำถึงยามบ่าย อย่าให้ชายหมายคอยจนคล้อยเย็น ค่ำแล้วแสงเดือนงามอร่ามสรวงดาวลอยดวงดูกับทรามเมื่อยามเห็น ฟังเพลงรักเหมือนเพลงลา น้ำตากระเซ็น ไม่วายเว้นสวาทหวามยามน้องชัง” และในส่วนของภาคดนตรีบนเวทีคอนเสิร์ตนี้ก็ได้สุดยอดฝีมืออย่าง คุณจิรวุฒิ กาญจนะผลิน (วงกาญจนะผลิน) และ คุณอรรถพร กำภู ณ อยุธยา (วงมิตรต่างวัย) มาดูแลรังสรรค์ความไพเราะของบทเพลงตลอดคอนเสิร์ต ผมมั่นใจว่าแฟนเพลงจะเต็มอิ่มกับบทเพลงกับคอนเสิร์ตครั้งนี้แน่นอนครับ วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน 2559 เวลา 14.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พบกันแน่นอนครับ
และสุดท้ายนี้ขอฝากถึงศิลปินรุ่นหลังทั้งหลายว่า ขอให้เขาพึงรำลึกไว้ว่าบทเพลงไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ชอบ แต่ถ้าเราสนใจเราอย่าไปดูถูกเพลงนั้น ตั้งใจร้องให้ดีเพลงก็จะเพราะ ไม่ใช่ว่าพอเห็นเพลงไม่ค่อยเพราะแล้วไม่อยากร้อง คนร้องเพลงไม่เพราะแล้วร้องให้เพราะต้องถือว่าสุดยอดฝีมือ
ท่านใดที่ชื่นชอบในเพลงลูกกรุงที่เป็นอมตะเหล่านี้ บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงค่ะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี