ด้วยความเป็นหนุ่มที่ชื่นชอบการแต่งรถ เมื่อครั้งถูกส่งไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาพร้อมน้องชาย ทำให้ จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) ต้องอาศัยอาหารราคาถูกจากร้านสะดวกซื้อ หรือฟาสต์ฟู้ดในปั๊มน้ำมันบ้าง เพื่อเก็บเงินไว้แต่งรถอย่างที่ชอบ ครั้นพอเบื่ออยากจะทำอาหารไทยทานเอง วัตถุดิบเครื่องปรุงก็แพงแสนแพง และหาซื้อไม่ได้ง่ายเลย จึงเกิดปิ๊งไอเดียให้เขาคนนี้กลับมาสร้างธุรกิจส่งออกเครื่องปรุงรสอาหารไทยภายใต้แบรนด์ Exotic Food ทันทีที่กลับสู่ประเทศไทย และยังแตกหน่ออีกหลายแบรนด์ ส่งออกไปจำหน่ายกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
“ผมเริ่มต้นธุรกิจในปี 2542 หลังจากเรียนจบกลับมา ด้วยความมุ่งมั่นที่เห็นช่องทางในธุรกิจ ตอนนั้นยอมรับว่ามีแต่ไอเดีย ถ้าไม่ได้รับโอกาสจากคุณลุงให้ยืมเงินมาลงทุน 24 ล้านบาท คงไม่มีวันนี้ ผมเริ่มจากสั่งผลิตแล้วติดแบรนด์ตัวเอง ในปีถัดมาพอแรงงานเสร็จ เราจึงเริ่มสายการผลิตของตัวเอง ช่องทางการจำหน่ายผมเน้นไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ ไม่ได้วางขายตามร้านเอเชีย เพราะว่าร้านเอเชียเหล่านี้เขาก็จะขายแบรนด์ประจำกันอยู่แล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นเอเชียซึ่งก็ยากกว่าที่จะไปทำการตลาด แต่การเข้าห้างใหญ่ๆ คือลูกค้าใหม่เป็นลูกค้าท้องถิ่นเป็นชาวต่างชาติที่อยากกินหรืออยากทำอาหารไทยทานเอง ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้เขาไม่มีแบรนด์ประจำ โอกาสที่เขาจะเลือกเราก็มีมากกว่าลูกค้าที่เป็นเอเชีย”
จุดแตกต่างของ Exotic Food ไม่เพียงแต่เป็นแบรนด์เครื่องปรุงรสอาหารไทยที่มีครบครันทั้ง ซอสปรุงรส น้ำจิ้มไก่ ซอสพริก แต่ยังมีเครื่องแกงพร้อมปรุง น้ำกะทิ รวมกว่า 200 รายการ ยังช่วยให้ชาวต่างชาติรู้จักอาหารไทยมากขึ้นด้วย
“ชาวต่างชาติจะรู้จักอาหารไทยไม่กี่อย่าง ถ้าจะซื้อเครื่องปรุงไปก็ไม่รู้จะทำอะไร ในช่วงแรกๆ บนฉลากผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Exotic Food จึงเปรียบเสมือน Thai Cooking Book ที่บอกให้รู้ว่าเครื่องปรุงแต่ละชนิดใช้ปรุงอาหารไทยอะไรได้บ้างหรือว่าเมนูนี้จะใช้เครื่องปรุงอะไรบ้าง เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าเพื่อไปทำอาหารทานเองได้อีกด้วย ยิ่งตอนนี้มีช่องทางโซเชียลมีเดียก็เข้ามาช่วยได้เยอะในการแนะนำผลิตภัณฑ์”
หากถามว่าธุรกิจของผู้บริหารหนุ่มคนนี้ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน จากเริ่มตั้งเป็นเพียงบริษัทจำกัด ธุรกิจก็ดำเนินไปได้ด้วยดีจากแบรนด์ Exotic Food ก็แตกหน่ออีกหลายแบรนด์ อาทิ THAI PRIDE, FLYING GOSE, COCO LOTO ส่งออกไปจำหน่ายกว่า 50 ประเทศทั่วโลก การันตีด้วยรางวัล ผู้ส่งออกและบริการดีเด่น ประจำปี 2555 ประเภทใช้ตราสินค้าของตัวเอง จนถึงวันนี้ จิตติพร สามารถนำบริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯกลายเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเมื่อปลายปี 2556 ที่ผ่านมา เป็นแบรนด์เครื่องปรุงรสอาหารไทยที่ทำให้อาหารไทยเป็นที่รู้จักทั่วโลก แต่กว่าจะถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย
“กว่าผมจะขายน้ำจิ้มไก่ได้ ไม่ใช่ว่าเจรจากันวันสองวัน ใช้เวลาเกือบปี เอาไปให้เขาชิม ถูกติให้เติมรสนั่นนี่เยอะไปหมด ถูกเปรียบเทียบกับน้ำจิ้มไก่แบรนด์ดัง ผมก็กลับมาแก้ไข ส่งไปให้ชิมใหม่ก็ยังโดนตำหนิอยู่เหมือนเดิม วันนั้นก็คิดนะรสชาติของเรามันแย่อย่างไร จนวันหนึ่งผมตัดสินใจเอาน้ำจิ้มไก่สูตรของผมไปใส่ขวดแบรนด์ดังที่ถูกเอามาเปรียบเทียบ แล้วเอาของแบรนด์ดังมาใส่ขวดของผม แล้วก็เอาไปให้เขาชิมใหม่ผลที่ได้คือ เขาบอกว่าน้ำจิ้มไก่ที่อยู่ในขวดของผมยังใช้ไม่ได้ ต้องรสชาติเหมือนน้ำจิ้มที่อยู่ในขวดแบรนด์ดัง ก็เลยได้ทีว่าต้องการรสชาติที่อยู่ในขวดแบรนด์ดังแบบนี้เลยใช่ไหม เขาตอบ Yes ผมบอกได้ ผมผลิตสูตรนี้เลยนะ วันนั้นแหละผมถึงขายน้ำจิ้มไก่ได้ และก็วันนั้นเช่นกันที่ทำให้ผมเรียนรู้ว่าเมื่อลูกค้ามีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ สินค้ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อมากแค่ไหน คือถ้าเขาเชื่อแบบไหนนั่นคือ ใช่สำหรับเขาแล้ว”
แม้จิตติพรจะเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่ถือว่าประสบความสำเร็จในธุรกิจส่งออก แต่เขาก็ต้องมี “คนหนุนหลัง” ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็น “ครอบครัว” นั่นเอง
กับคู่ชีวิต แวนด้า - พญ.ศิริวรรณ ตั้งเจริญชัยชนะ
“อย่างแรกผมต้องขอบคุณคุณลุงที่สนับสนุนทำให้ผมมีวันนี้ ขอบคุณพ่อ-แม่ที่คอยให้กำลังใจให้คำปรึกษา สำคัญที่สุดคือแวนด้า (พญ.ศิริวรรณ ตั้งเจริญชัยชนะ) ภรรยา เขาเป็นคู่คิด คู่ชีวิต ตัวเขาเองก็ทำงานสัปดาห์ละ 3 วัน ที่เหลือคือมาดูแลผมและลูกสาวอีกสองคน จริงๆ ผมชอบบอกใครๆ ว่าแวนด้ามีลูกสามคน คือมีผมเป็นลูกคนโต ผมจึงต้องขอบคุณเขามากที่สุดเวลาที่มีปัญหา เหนื่อยหรือเครียดเขาจะเป็นคนที่รับฟัง หรือบางครั้ง ‘ต้อง’ รับฟังมากกว่าใคร เพราะเขาอยู่กับเราทุกวัน เป็นคนที่คำปรึกษาแนะนำผมได้ คอยปลอบใจ ซึ่งผมมองว่าสำคัญมากนะต่อให้เราเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคู่คิดคู่ชีวิตที่ดีจากที่เหนื่อยงานอยู่แล้วกลับบ้านมาก็ยังต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก”
หลังเวลางาน ผู้ชายคนนี้จึงทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัวเล็กๆ ของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะไปรับส่งลูกไปโรงเรียนด้วยตัวเอง พาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมที่ชอบ และสรรหาของขวัญมากำนัลศรีภรรยาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศแบบยกครัว หรือไปกันตามลำพังสามี-ภรรยาทุกปี
เพราะเขาเชื่อว่าการบาลานซ์ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ การประสบความสำเร็จเพียงด้านใดด้านหนึ่งไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริงของชีวิต แต่ทั้งสองอย่างต้องเดินไปพร้อมๆ กัน เพราะไม่ว่าจะธุรกิจ หรือ ครอบครัว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขานั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี