กระโจมของชาวคาซัคผู้เดินทาง
เมื่อเร็วๆ นี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯไปยังคาซัคสถานซึ่งมีเมืองสำคัญหลายเมืองตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมทางบกต่อชายแดนกับจีน อาทิตย์นี้ผมและคณะได้รับความกรุณาจากสายการบินเอสตานา(Air Astana) ของคาซัคสถาน ที่จัดให้เดินทางไปตามรอยหาภูมิวัฒนธรรมของชาวคาซัคณ เมืองอัลมาตี (Almaty) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าเมื่อครั้งขึ้นอยู่กับสหภาพโซเวียต มีอายุเมืองอยู่ประมาณ 150 ปี ครั้งนั้นรัสเซียได้สร้างเมืองอัลมาตีให้เป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อควบคุมชายแดนติดต่อกับประเทศจีน โดยมีเทือกเขาเทียนซานอันสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เป็นพรมแดนธรรมชาติและใช้เป็นเส้นทางสำคัญของการค้าขายผ้าแพรไหมในอดีต เทือกเขาเทียนซานนี้เป็นแนวพรมแดนที่กั้นระหว่างสามประเทศ คือ จีน คาซัคสถาน และคีร์กิซสถาน โดยเฉพาะอัลมาตีนั้นแม้ปัจจุบันจะไม่ได้เป็นเมืองหลวง แต่ก็ยังมีร่องรอยของการเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของคาซัคสถานโดยยังมีศาลาว่าการเมืองอัลมาตี (City Hall) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำการรัฐบาลของคาซัคสถานก่อนย้ายเมืองหลวงไปสร้างใหม่อัสตานา อัลมาตีนี้ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การศึกษา การคมนาคม มีประชากรอาศัยหนาแน่นที่สุด โดยมีอาคารบ้านเรือน ถนน และสวนสาธารณะหลายแห่งที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปกรรมรัสเซีย จนทำให้อัลมาตีได้รับสมญานามว่าเป็น “มอสโกแห่งเอเชียกลาง” โดยเฉพาะโรงอุปรากร (Opera House)นั้นสร้างขึ้นโดยโซเวียตเมื่อปี พ.ศ.2477 เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนาซีบุกรัสเซีย คณะอุปรากรแห่งนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งใหม่ที่เมืองอัลมาตี และฝึกสอนเด็กในท้องถิ่นจนเมืองนี้เป็นสถานที่ชั้นนำในการแสดงอุปรากรระดับโลกแห่งหนึ่ง สวนสาธารณะที่สำคัญที่สุดในเมืองคือสวนพันฟิลอฟ (Panfilov Park) ซึ่งใจกลางสวนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์สีสันสดใสเหมือนลูกกวาดชื่อว่าโบสถ์แอสเซนชัน (Ascension Cathedral)หรืออีกชื่อว่าโบสถ์เซนคอฟ (Zenkov Cathedral)สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1907 สร้างด้วยไม้ทั้งหลังโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว ถือเป็นโบสถ์ไม้ที่สูงเป็นอันดับสองของโลก โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์แบบรัสเชียนออร์โธดอกซ์ (Russian Orthodox) ที่งดงามแข่งกับโบสถ์ที่สำคัญในกรุงมอสโกหรือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในขณะที่อยู่กับสหภาพโซเวียตนั้น โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์และโรงละครสำหรับจัดแสดงคอนเสิร์ต หลังจากได้รับเอกราชจึงมีการฟื้นฟูให้กลับมาทำหน้าที่เป็นโบสถ์เหมือนเดิมปัจจุบัน อัลมาตี ได้พัฒนาให้ทันสมัยตามรูปแบบของมอสโกมีสวนสาธารณะ มีลานอนุสาวรีย์สำคัญหลายแห่ง
ข่านผู้นำชนเผ่าคาซัค
จากการได้เดินทางสำรวจในระยะสั้นไปตามถนนที่ครั้งหนึ่งในอดีตเป็นเส้นทางค้าขายสายแพรไหมของชาวคาซัคและพ่อค้าจีน เมื่อได้เข้าชมแหล่งโบราณคดีที่มีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและพิพิธภัณฑ์กลาง (Central State Museum)ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในอัลมาตีแล้ว กลับพบว่าร่องรอยทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่นี่มีอายุยาวนานมามากกว่า 1,000 ปี จนมองเห็นวิถีชาวคาซัคที่เดินทางเร่ร่อนค้าขายไปตามเมืองต่างๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งพบว่าชาวคาซัคนี้มีความเชี่ยวชาญในการใช้ม้าใช้เหยี่ยวและอาวุธ มีนักรบคอยกำกับดูแลเมืองที่เป็นชุมทางค้าขายของเส้นทางสายไหม โดยเฉพาะอนุสาวรีย์แห่งอิสรภาพ (Monument of Independence) เป็นเสาหินที่สูงมาก ด้านบนเป็นรูปปั้นของมนุษย์ทองคำ (Golden Man) ขี่หลังเสือดำติดปีก มนุษย์ทองคำนี้คือหลักฐานสำคัญของนักรบโบราณที่ได้สำรวจพบในแหล่งโบราณคดี คือ ร่างของมนุษย์โบราณที่สวมเสื้อผ้าประดับด้วยทองคำ ชาวคาซัคได้นับถือว่ามนุษย์ทองคำนี้เป็นบรรพบุรุษของพวกตน เป็นเกียรติภูมิของชนเผ่าที่มีความยิ่งใหญ่ในเส้นทางสายไหมและบริเวณเมืองต่างๆ ที่มีการค้าขายตามเส้นทางโบราณของเอเชียกลาง
กับภาพของนักโบราณคดีคาซัค
การละเล่นพื้นเมืองที่ยังมีให้เห็นอยู่
คณะผู้สำรวจเส้นทางวัฒนธรรม
เครื่องทองบนเส้นทางสายไหม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี