เจดีย์เจ้าพระมหาธาตุ
งานเข้าพรรษาทุกปีนั้นมีประเพณีสำคัญที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวพุทธคือการแห่เทียนเข้าพรรษา แต่สำหรับเมืองอุบลราชธานีแล้วการแห่เทียนพรรษานั้นมีการสร้างเทียนจนมีชื่อเสียงมากเป็นที่รู้จักกันทั่วไปทั้งในและต่างประเทศปีนี้จังหวัดได้ยกฐานะของเทียนประเพณีให้เป็นงานเทียนนานาชาติที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวและชื่อเสียงของประเทศ จังหวัดอุบลราชธานีแม้จะเป็นเมืองที่มีประวัติการสร้างมากว่า 200 ปี และเคยมีพื้นที่กว้างใหญ่ ปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็นจังหวัดยโสธรในปีพ.ศ.2515 และจังหวัดอำนาจเจริญ ในปี พ.ศ.2536 บริเวณเมืองอุบลราชธานีนี้พบว่ามีเรื่องราวมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์-ก่อนประวัติศาสตร์มีแหล่งโบราณคดีสำคัญอยู่หลายแห่ง ซึ่งพบโบราณวัตถุที่น่าสนใจมากมาย เช่น ภาชนะดินเผา ภาพเขียนผนังถ้ำ กลองมโหระทึก จารึกโบราณ และอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของจังหวัดอุบลราชธานี
การสร้างเทียนเข้าพรรษา
ผู้ตั้งเมืองอุบลราชธานีนั้นคือ เจ้าคำผงผู้เป็นโอรสของพระเจ้าตาและเจ้านางบุศดี เชื้อสายราชวงศ์เชียงรุ้ง สิบสองปันนา สมภพเมื่อปี พ.ศ. 2252 ณ นครเวียงจันทน์ เจ้าคำผงได้เสกสมรสกับเจ้านางตุ่ย ธิดาเจ้าอุปราช (ธรรมเทโว) พระอนุชาของพระเจ้าองค์หลวง (ไชยกุมาร) เจ้านครจำปาศักดิ์ ปีพ.ศ.2322 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี เชิญท้องตราขึ้นมาตั้งเป็นเมืองอุบลราชธานี พร้อมตั้งให้เจ้าคำผงเป็นเจ้าเมืองในราชทินนาม “พระประทุมราชวงศา” เจ้าทิตพรหมเป็นพระอุปฮาด เจ้าก่ำเป็นราชวงศ์ เจ้าสุดตาเป็นราชบุตร โดยเป็น คณะอาญาสี่ชุดแรก ของเมืองอุบลราชธานี มีเรื่องเล่ามาอีกความว่า เจ้าคำผงนั้นรับแต่งตั้งเป็นพระประทุมสุรราช เมื่อปี พ.ศ.2323 มีตำแหน่งเป็นนายกองใหญ่คุมเลก (ไพร่) อยู่ที่บ้านดู่บ้านแกโดย ขึ้นกับนครจำปาศักดิ์ และปี พ.ศ.2329จึงได้ย้ายครอบครัวและไพร่พลจากบ้านดู่ บ้านแกมาตั้งบ้านเมืองใหม่ที่ตำบล ห้วยแจระแม โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้มีพระบรมราโชบายตอนต้นรัชกาลให้การสร้างบ้านแปงเมืองในพื้นที่อีสาน เจ้าคำผงจึงพาผู้คนมาตั้งเมืองนี้ว่า “เมืองอุบล” ต่อมาพ.ศ.2334เกิดขบถอ้ายเชียงแก้วเขาโอง ยกกำลังมาตีเมืองนครจำปาศักดิ์ เจ้าฝ่ายหน้าผู้น้องพระประทุมราชวงศาได้ยกกำลังไปรบ สามารถจับอ้ายเชียงแก้วได้ และทำการประหารชีวิตที่บริเวณแก่งตะนะ ด้วยความดีจากการร่วมปราบกบฏอ้ายเชียงแก้วในปี พ.ศ.2334 นั้นรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระประทุมสุรราช (เจ้าคำผง) เป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ และยกฐานะเมืองอุบลเป็น “เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช” เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 ปีชวด จุลศักราช 1151ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ.2335 พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ได้สร้างวัดหลวงให้เป็นวัดคู่เมืองขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลเมื่อพ.ศ.2338 ถือเป็นวัดแรกของเมืองอุบลราชธานี พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ครองเมืองนี้จนถึงแก่พิราลัยเมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ จุลศักราช 1157 รวมอายุได้ 86 ปี และมีบุตรหลานครองเมืองสืบต่อมาอีกสี่คนสิ่งสำคัญของเมืองนี้ระบบ “ฮีตสิบสองครองสิบสี่” มาเป็นหลักปกครองบ้านเมือง ฮีตสิบสอง นั้นหมายถึงประเพณีที่จะต้องปฏิบัติทั้ง 12 เดือน ในแต่ละปีคำว่า “ฮีต” มาจากจารีต ที่ถือเป็นจรรยาของสังคม ถ้าฝ่าฝืน มีความผิดเรียกว่า ผิดฮีต หมายถึง ผิดจารีต ส่วน “ครองสิบสี่”นั้นคือ การครองธรรม 14 อย่าง ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้ปฏิบัติระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง หรือระหว่างคนธรรมดาปฏิบัติต่อกัน ด้วยการแปงบ้านเมืองในระบบ “ฮีตสิบสองครองสิบสี่” นี้ จึงทำให้เจ้าคำผงหรือพระประทุมวรราชสุริยวงค์ ได้รับการนับถือว่า เป็นบุคคลที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม เมตตาธรรม กรุณาธรรมต่อไพร่ฟ้าชาวเมืองอุบลราชธานีและถือเป็นแบบอย่างการทำงานรับราชการและเป็นข้าราชบริพารผู้สนองงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อีกทั้งยังเป็นแม่ทัพคนสำคัญในรัชกาลที่ 1 เป็นผู้ประสานสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างหัวเมืองอีสานกับกรุงเทพฯ ตลอดมา ถือเป็นเมืองใหญ่ที่เป็นแกนนำหัวเมืองอีสานมาแต่ครั้งต้นรัตนโกสินทร์
กลองมโหระทึก
ภาพเขียนสีที่ผาหมอนน้อย
จารึกปากโคมน้อย
เจ้าคำผง ผู้สร้างเมือง อุบลราชธานี
การทอผ้าพื้นเมือง
งานจักสานของใช้ดั้้งเดิม
จารึกที่วัดมหาวนาราม
คณะโปงลางที่สร้างชื่อเสียงเมืองอุบล
ชาวเมืองถือศีลทำบุญ
ภาชนะดินเผาบ้านก้านเหลือง
ภาชนะบ้านก้านเหลือง
แหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี