พิธีกรรายการ ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์ และ หมู-ปนัดดา เจณณวาสิน

เป็นสาวเก่งมากความสามารถ และยังขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแม่ในวงการตลาดของรถยนต์ค่ายยักษ์ใหญ่อีกต่างหาก สำหรับ “หมู-ปนัดดา เจณณวาสิน” ล่าสุดเพิ่งได้รับตำแหน่งบอร์ดบริหารในกลุ่มอีซูซุมอเตอร์และมิตซูบิชิคอร์ปอเรชั่น ของทั่วโลกอีกด้วย เป็นผู้หญิงไทยคนแรกและคนเดียวที่ได้รับตำแหน่งอันสูงสุดนี้ ทางรายการ “ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางสถานี TNN2 ช่อง 784 ช่วง Focus On พิธีกร “ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์” จึงไม่พลาดที่จะตามไปพูดคุยด้วย

“หมู-ปนัดดา เจณณวาสิน” เล่าว่า “ดิฉันเป็นกรรมการรองผู้จัดการของบริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายรถอีซูซุทุกประเภทในประเทศไทย แล้วเราก็ก้าวมาจัดจำหน่ายรถขนาดเล็ก คือรถปิกอัพอีซูซุดีแมกซ์ และรถอเนกประสงค์อีซูซุมิวเอ็กซ์ ที่ประเทศลาว และกัมพูชา เป็นครั้งแรกด้วย

การที่มาเป็นผู้บริหารและเป็นผู้หญิงด้วย ถามว่ามีข้อได้เปรียบเสียเปรียบอย่างไร โดยส่วนตัวสำหรับดิฉันผู้หญิงหรือผู้ชายไม่มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบเลย ตัวเองเป็นคนคิดว่าสมองไม่มีเพศ มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายในการที่คุณจะบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จ แต่บางครั้งการทำงานในระดับนานาชาติ ที่ต้องไปติดต่อกับต่างประเทศก็เคยเจอปัญหาบ้างเหมือนกัน

ตัวอย่างเช่น อีซูซุได้ย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพและรถอเนกประสงค์มาที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2002 แล้วเราก็เริ่มส่งออกรถที่เมดอินไทยแลนด์ไปขายยัง 110 กว่าประเทศทั่วโลก แล้วดิฉันก็มีส่วนช่วยงานของบริษัทส่งออกด้วย ตอนนั้นก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ สิ่งที่ประสบปัญหาหนักๆคือ ประเทศแถบตะวันออกกลาง

เพราะว่าเวลาประชุม ต้องเข้าไปอธิบายแนวคิดทางการตลาดของรถปิกอัพอีซูซุดีแมกซ์ให้พวกเขาฟัง ซึ่งเป็นผู้บริหารผู้ชายล้วน แล้วก็ทางตะวันออกกลาง ก็ทราบดีอยู่ว่ามีข้อแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายมาก การที่เราก้าวเข้าไปก็คือ ทำให้ทั้งห้องต้องเงียบกริบไปสักพักหนึ่ง กว่าเขาจะทำใจได้แต่สุดท้ายเขาก็สามารถปรับเข้ากับเราได้ก็กลายเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เคยมีครั้งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษ สมัยเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว ตอนที่ไปเขาไม่ได้คิดว่าเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เขาคิดว่าเราเป็น
คนไทย สิ่งที่เขาไม่ยอมรับคือ ความเป็นคนไทยแล้วแบรนด์อีซูซุเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น เขาไม่เชื่อว่าคนไทยนั้นจะเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับรถอีซูซุในประเทศไทย แต่สุดท้ายก็สามารถทำลายกำแพงอันนี้ไปได้เหมือนกัน ถ้าถามว่าเคยประสบปัญหาการเป็นผู้หญิงมั้ยก็อาจจะมี 2 กรณีนี้ค่ะ แต่ที่นี่ไม่มีนะคะ ที่บริษัทตรีเพชรอีซูซุเซลส์เอง เขาไม่ได้แยกเพศเขาไม่สนใจเรื่องอายุ และไม่สนใจเรื่องการศึกษาด้วย

แต่ละคนต้องพิสูจน์ว่า ถ้าเราต้องการได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับผู้ชาย เราไม่สามารถจะใช้ข้อได้เปรียบของความเป็นผู้หญิงได้อันนี้ฉันเป็นผู้หญิง ฉันทำไม่ได้ เราพูดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเราต้องการยอมรับเราต้องทำได้เหมือนกัน

ที่มาเป็นผู้บริหารระดับสูงในวันนี้ได้ ถามว่าคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง มันขึ้นอยู่ว่าจะนิยามคำว่าความสำเร็จอยู่ตรงไหน บางคนอาจจะมองว่าดิฉันยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่ามีผู้บริหารหญิง หรือว่าอีกมากมายในประเทศไทยและในโลกนี้ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงกว่าดิฉัน

แต่ถ้าส่วนตัวถามว่าพอใจมั้ย ก็พอใจมานานมากแล้วเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงานที่ตรีเพชรอีซูซุดิฉันมีความสุขมาก เป็นบริษัทแห่งแรกและแห่งเดียวที่เคยทำงานตั้งแต่จบการศึกษาไม่เคยเปลี่ยนงาน เพราะว่ารู้สึกว่าที่นี่เป็นแฮปปี้เวิร์กเพลส เป็นสถานที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข เหมือนบ้านแห่งที่สองของเราสมัยก่อนก็มีผู้บังคับบัญชาที่ดีมาก แล้วก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดีมาก เพื่อนร่วมงานที่ดีมากทำให้เราทำงานแล้วมีความสุข

ขณะเดียวกันความสำเร็จอีกอย่างหนึ่งคือ ชีวิตครอบครัว ลูกๆ เป็นเด็กดี สามีก็ให้กำลังใจและเข้าใจ สนับสนุนเรื่องการทำงาน ลูกๆ ก็มีความรับผิดชอบในตัวเองสูง ก็เลยคิดว่าตัวเองน่าจะพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ส่วนเรื่องวันว่าง ถามว่าดิฉันแบ่งเวลาอย่างไร ปกติไม่ค่อยมีวันว่างนะคะ แต่ว่าถ้าว่างมักจะดูข่าว ดูทีวี เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้กลับไปถึงบ้านก็ต้องเปิดเลย โดยเฉพาะรายการโปรดของดิฉันคือ CNN เพราะว่าทำให้ทราบข่าวทั่วโลก แล้วก็จะต้องดูรายการข่าวจากทีวีไทยด้วย

แล้วถ้าว่างจริงๆ นะคะก็จะดูโทรทัศน์เป็นภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน ที่ชอบมากๆ คือ CSI ทุกซีรี่ส์ แล้วก็ NCIS Los Angeles แล้วก็หนังตำรวจนิวยอร์กชื่อ บลูบัส แต่ตอนหลังนี่ก็มีชอบซีรี่ส์ที่ออกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับในอดีตนิดหน่อยของอังกฤษ ก็คือเกมาโฟน ซึ่งดังมาก

สำหรับดิฉันแล้วการดูพวกนี้ ก็คือจะดูโปรดักชั่นเขาด้วย ไม่ได้ดูเฉพาะเนื้อหาเอาความสนุกอย่างเดียว เนื่องจากเรารับผิดชอบงานทางด้านงานการตลาด ทั้งเรื่องการโฆษณา การส่งเสริมการขาย เราก็ต้องดูว่าเขาถ่ายทำเป็นอย่างไร ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้รับความนิยม มุมกล้องเป็นอย่างไรเอามาปรับใช้กับงานได้

กับเรื่องที่ว่าการเป็นผู้บริหารในระดับสูงแล้วมีการบริหารเวลาอย่างไรให้บาลานซ์กับชีวิตครอบครัว อันนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมากเลยนะคะ โดยเฉพาะตอนลูกยังเด็ก ถ้าเป็นไปได้ดิฉันก็อยากจะมีเวลาให้ลูกมากกว่านี้ แต่มันไม่สามารถจะเลือกได้ คนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง ก็เลยคิดว่าตอนสมัยลูกยังเด็ก จะแบ่งเวลาวันอาทิตย์ไว้ทั้งวัน เป็นเวลาที่อุทิศให้กับลูก พาเขาไปเรียนว่ายน้ำ เรียนเปียโน เรียนพิเศษต่างๆ

แต่ตอนนี้ลูกก็เรียนจบแล้ว ตอนเด็กๆก็จะมีไวท์บอร์ด แล้วลูกก็จะทิ้งการบ้านไว้ให้ตรวจ กลับไปดึกดื่นอย่างไรก็ต้องตรวจการบ้าน แล้วถ้าลูกต้องการอะไรก็จะเขียนไว้บนไวท์บอร์ด ตอนเล็กๆ เขายังเขียนไวท์บอร์ดไม่ถึง เขาก็จะเขียนใส่กระดาษ แล้วก็บอกว่าเขาต้องการให้แม่ทำอะไรบ้าง แล้วดิฉันก็จะทำตาม ถ้ามีคำถามดิฉันก็จะตอบไว้บนไวท์บอร์ด พอลูกตื่นเช้า เขาก็จะมาอ่านว่าแม่ตอบว่าอะไร เราก็ติดต่อสื่อสารกันแบบนี้สมัยนั้นยังไม่มีไลน์ เดี๋ยวนี้ง่ายๆ มีไลน์ติดต่อกัน แล้วดิฉันเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเราบริหารจัดการเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมเราถึงไม่ทำเวลาส่วนตัวของเราไม่ให้มีประสิทธิภาพ เราควรจะทำได้ทั้งสองอย่าง

สมมุติว่าคุณแม่คนหนึ่ง มีเวลาให้กับลูก 9 ชั่วโมงต่อวัน ดิฉันมีแค่ 3 ชั่วโมง ดิฉันไม่เชื่อว่าเขาจะทำงานได้ดีกว่าดิฉัน 3 เท่า ถ้าเราสามารถใช้ 3 ชั่วโมงทุกนาทีอย่างมีค่า อาจจะเท่ากับ 9 ชั่วโมงของเขาก็ได้ดิฉันก็ภูมิใจมาก เพราะอย่างน้อยที่สุดส่วนตัวคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการชีวิตครอบครัวพอสมควร เพราะลูกสาว 2 คนก็สอบได้เกียรตินิยมอันดับ 1 
ทั้งคู่

ถามว่าดิฉันมีต้นแบบหรือไอดอลไหมมีค่ะ เป็นนักธุรกิจญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากนะคะ แต่คนไทยอาจจะรู้จักท่านน้อย ชื่อ ดร.คาซึโอะ อินาโมริ เป็นเจ้าของบริษัท Kyocera โดยตั้งบริษัทนี้ตั้งแต่อายุ 27 ปีร่วมกับเพื่อนๆ แล้วก็เป็นเจ้าของบริษัท KDDI เป็นบริษัทโทรคมนาคมอันดับ 2ของญี่ปุ่น คนอาจจะรู้จักท่านเมื่อปี 2010 ตอนที่สายการบินประจำชาติญี่ปุ่น JAL ประสบภาวะล้มละลาย รัฐบาลญี่ปุ่นได้เชิญ ดร.อินาโมริ มาเป็นประธานกรรมการบริหาร เพื่อจะกอบกู้สายการบินแห่งชาติขึ้นมา

ตอนนั้นท่านอายุ 77 ปี เวลานี้ท่านอายุ 84 ปี ท่านทำเพื่อชาติของท่านเองโดยที่ไม่รับค่าตอบแทนเลย แล้วภายในระยะเวลา 3 ปี ท่านก็สามารถทำให้ JALกลับมามีกำไรได้อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับเข้าไปเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ได้อย่างสง่างาม ดิฉันชื่นชมมากสำหรับปรัชญาการบริหารงานเชิงตะวันออกของเขา

คือเขาไม่คิดว่าคนเป็นแค่เครื่องมืออันหนึ่งขององค์กร เขาอยากให้คนเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร เขาซื้อพนักงานด้วยใจแล้วเขาเชื่อว่าทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งมีค่าเหนือกว่าความพยายามและความสามารถ ท่านให้นิยามคำว่าความสำเร็จว่า เกิดจากความสามารถคูณด้วยความพยายาม คูณด้วยทัศนคติ โดยความพยายามกับความสามารถนั้น มีสเกลอยู่ที่ 0-100 ถ้าทัศนคตินั้นติดลบ 100 จนถึง +100 แปลว่าไม่ว่าคุณจะเก่ง พยายามขนาดไหน ถ้าคุณทัศนคติเป็นลบแล้วคุณเป็นอันตรายต่อองค์กรซึ่งดิฉันคิดว่าเขาคิดถูก

หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า A passion for success เป็นหนังสือขายดีมากในประเทศญี่ปุ่น แล้วมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วย ดิฉันชื่นชม ดร.คาซึโอะ อินาโมริ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ท่านอายุ 84 ปีแล้วก็กลายเป็นผู้ที่ทำกิจกรรมเพื่อการกุศลต่างๆได้รับเชิญไปเลกเชอร์ที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลกเลย”