หลังจากพาค้นประวัติโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยกันไปแล้ว สัปดาห์นี้รายการ “ผู้หญิงแนวหน้ากับคุณแหน” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00-16.25 น. ทางสถานี TNN2 ช่อง 784 ช่วง Focus On พิธีกร “ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์” พาไปรู้จักกับ หอประวัติ อยู่ภายในโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงสิ่งของพระราชทานที่หาดูได้ยาก
อาจารย์โสภณ พงษ์ชัยอินทร์ หัวหน้างานจดหมายเหตุ ผู้ดูแลหอประวัติแห่งนี้ ได้ให้ข้อมูลว่า “หอประวัติโรงเรียนวชิราวุธ
วิทยาลัย ก่อตั้งมาประมาณปีพ.ศ.2473ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้รื้อพระตำหนักสมเด็จไปรวมเป็นกุฏิสงฆ์ที่วัดราชาธิวาส แล้วก็สร้างตึกนี้ขึ้นมา เดิมเป็นตึกพยาบาล แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นหอประวัติในสมัย ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นผู้บังคับการ
(ซ้าย) อาจารย์โสภณ พงษ์ชัยอินทร์ และพิธีกรายการ ขิม-ทิพย์ลดา พูนศิริวงศ์
สำหรับสิ่งของในประวัติศาสตร์ที่อยู่ในหอประวัติแห่งนี้ ถามว่ามีเปลี่ยนแปลงโยกย้ายหรือเพิ่มเติมหรือไม่นั้น จริงๆ เราก็จะมีเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ปีหนึ่งเราเปลี่ยนประมาณ 2 ครั้ง แต่ว่าหลักๆ ของที่เราจัดแสดงก็ยังคงเดิมไว้อยู่ อย่างในห้องนี้ก็จะมี
ตู้สังเค็ด เป็นตู้สังเค็ดในงานพระบรมศพของรัชกาลที่ 6 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างขึ้น ตามพระราชพินัยกรรมของรัชกาลที่ 6 ที่พระองค์ทรงระบุไว้
หอประวัติจะเป็นตึก 2 ชั้น แบ่งเป็นห้องจัดแสดงทั้งหมด 4 ห้อง ข้างบน 2 ห้อง ข้างล่าง 2 ห้อง และก็มีห้องสักการะ ห้องแรก
ห้องจัดแสดง 1 ก็จะมีตู้หนังสือสังเค็ด เป็นสิ่งของพระราชทานในงานพระบรมศพของรัชกาลที่ 6 แล้วก็ยังมีเสื้อครุย เป็นเสื้อครุยโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งเสื้อครุยของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเราถือว่าเป็นครุยต้นแบบของครุยวิทยฐานะทั่วประเทศ
เนื่องจากว่าตอนที่เนติบัณฑิตรับประกาศนียบัตร รัชกาลที่ 6 ก็โปรดให้นำครุยของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงไปเป็นต้นแบบ แล้วก็สมัยรัชกาลที่ 7 จุฬาฯ จะมีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ก็โปรดให้นำเสื้อครุยของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงไปเป็นต้นแบบ จะถือว่าเป็นเสื้อครุยตัวแรกของประเทศไทยก็ว่าได้ เป็นครุยวิทยฐานะ
ส่วนไฮไลท์ของหอประวัติ ก็จะมีตู้ตรงกลาง เป็นเอกสารการรับรองนักเรียน ซึ่งลงพระนามโดย สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เหมือนลงพระนามรับรองนักเรียนว่าถ้าเกิดพ่อแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม พระองค์ท่านจะเป็นทรงรับผิดชอบเอง
อาจารย์โสภณ พงษ์ชัยอินทร์ ผู้ดูแลหอประวัติ
แล้วก็จะมีระฆังสี่เหลี่ยมลวดลายแบบสุโขทัย ซึ่งเราเคยออกแบบไว้ในสมัยพระยาปรีชานุสาสน์เป็นผู้บังคับการ แต่ว่าในสมัยนั้นเงินทุนไม่พอ เราก็เลยยังไม่ได้สร้าง ก็สร้างแค่หอนาฬิกาขึ้นมา จนมาปี พ.ศ.2553 กรรมการอำนวยการก็ได้อนุมัติให้สร้างตามแบบ แล้วก็มีพิธีใหญ่โต มีพิธีบวงสรวง พิธีแห่ระฆัง แต่พอนำขึ้นไปแขวนแล้วเสียงมันไม่ดังกังวาน ก็เลยให้นำมาเก็บรักษาไว้ที่หอประวัติ มาจัดแสดงไว้ที่นี่
มาต่อกันที่ห้องจัดแสดงที่ 2 อ.จักรพันธุ์ โปษยกฤต เป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธฯด้วย และท่านก็เป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นศิลปินที่มากความสามารถ ก็จะมีรูปท่านอยู่ในห้องจัดแสดงนี้ จะมีรูปที่เด่นๆ เลยคือรูปที่อ.จักรพันธุ์วาดไว้ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียน เป็นรูปหอประชุมโรงเรียนวชิราวุธฯ ปีพ.ศ.2502
และก็มี ปี่สก็อต ซึ่งปี่สก็อตตัวนี้เป็นของครูสจ๊วต มาร์ เป็นปี่สก็อตตัวแรกของประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะครูสจ๊วต มาร์ เป็นครูสอนปี่สก็อตคนแรกของวชิราวุธวิทยาลัยด้วย แล้วก็วงปี่สก็อตของเรา เป็นวงที่เก่าแก่ที่สุด อย่างที่เรียนไปว่าสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ท่านทรงต้องการให้มีวงปี่สก็อตประจำกองเสือป่า แต่ว่าก็หาครูสอนไม่ได้ จนมาในสมัยพระยาภะรตราชาเป็นผู้บังคับการ ท่านก็ได้ให้ครูสจ๊วต มาร์ มาสอนปี่สก็อต
ต่อมาเครื่องหมายสามารถทางกีฬา เป็นเครื่องหมายสามารถทางกีฬาที่นักเรียนเขาจะได้รับ อย่างบางทีเขาไปแข่งรักบี้ หรือติดทีมโรงเรียน หรือติดทีมชาติ เขาได้เครื่องหมายสามารถตามระดับความสามารถของเขา ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีอยู่ เครื่องหมายสามารถเริ่มมีมานานแล้ว หลายสิบปีแล้ว น่าจะช่วงสร้างโรงเรียนใหม่ๆ ก็ว่าได้
มาถึงห้องจัดแสดงที่ 3 เราจะแบ่งออกเป็นห้องย่อยๆ 2 ห้อง คือห้องจัดแสดงเกี่ยวกับลูกเสือ เนื่องจากว่าโรงเรียนเราเป็น
กองลูกเสือกองแรกของประเทศ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ นายชัช บุนนาค เข้าเฝ้าฯ แล้วทรงมีรับสั่งให้นายชัช บุนนาค เป็นลูกเสือคนแรกของสยาม ในห้องจัดแสดงนี้เรายังไม่ได้ทำในรูปแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็จะจัดแสดงเกี่ยวกับชุดลูกเสือ ซึ่งมีชุดลูกเสือหลวง แล้วก็มีชุดเสือป่า ราชนิยมในรัชกาลที่ 6
ชุดลูกเสือหลวงโรงเรียนเราจะใช้ในพิธีสำคัญเท่านั้น ก็คือในการเดินสวนสนามวันสถาปนาลูกเสือ แล้วก็เฝ้าฯรับเสด็จที่โรงเรียน ก็คือในงานพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล วันที่ 25 พฤศจิกายน แล้วก็อีกงานคืองานพระราชทานประกาศนียบัตรและรางวัลของนักเรียน และเราก็จะมีรูปนายชัช บุนนาค ซึ่งเป็นลูกเสือคนแรกของไทยด้วย แล้วก็รูปหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ในชุดลูกเสือตอนเป็นนักเรียน เพราะหม่อมหลวงปิ่นก็เป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธฯ
ห้องสุดท้าย ห้องจัดแสดงที่ 4 เป็นห้องจัดแสดงถ้วยรางวัลการแข่งขันกีฬา ซึ่งในอดีตเราใช้เป็นถ้วยเวียน ปัจจุบันก็เป็นถ้วยเวียนนะ แต่ว่าในสมัย ดร.สาโรจน์ ลีสวรรค์ เป็นผู้บังคับการ ท่านก็มีนโยบายที่จะให้ทำถ้วยรางวัลขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะเอาถ้วยรางวัลเก่าเก็บรักษาไว้ให้น้องๆ ได้ดูกัน
โรงเรียนเราจะมีการแข่งขันกีฬาเยอะมาก รวมๆ กันก็น่าประมาณ 30 รายการต่อปี นี่คือภายในโรงเรียนอย่างเดียว ก็จะมีถ้วยรางวัลสำคัญ อย่างเช่น ถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และก็มีโล่พระราชทาน
ในห้องจัดแสดงที่ 4 ก็เป็นห้องเกี่ยวกับในหลวงกับเด็กวชิราวุธ เราก็จัดแสดงสิ่งของที่เราได้รับพระราชทานมา หรือสิ่งของที่มีผู้ทูลเกล้าฯถวาย ที่สำคัญของเราเลยคือ แซกโซโฟนพระราชทาน ซึ่งแซกโซโฟนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับโรงเรียนเรา เนื่องจากว่าพระองค์ท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งวงหัสดนตรีขึ้นในวชิราวุธฯ แล้วก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้วงหัสดนตรีไปบรรเลงในพระราชวังไปออกอากาศในรายการวิทยุ อส.ด้วย และหลายๆ ครั้งก็เสด็จฯทรงร่วมดนตรีกับนักเรียนด้วย
นอกจากนี้ ก็มีชิ้นอื่นๆ อาทิ ผ้าซับพระพักตร์ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็จะมีตรา ปปร. แล้วก็จะมีของใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ ซึ่งข้าราชบริพารก็นำมามอบให้กับโรงเรียน หลังจากที่พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์
สถานที่แห่งนี้ถามว่าบุคคลภายนอกเข้ามาชมได้ไหม จริงๆ ถ้าจะเข้ามาชม ก็ต้องทำหนังสือขออนุญาตท่านผู้บังคับการ ในหอประวัติแห่งนี้ก็จะมีนักเรียนในวิชาสังคมศึกษา หรือวิถีวชิราวุธ หรือกิจกรรมอะไรต่างๆ ที่ครูเขาต้องการให้นักเรียนเข้ามาศึกษาค้นคว้า ก็จะพาเข้ามา ซึ่งภายในระยะเวลา 2 ปีที่ผมดูแลก็มีนักเรียนเข้ามาเรื่อยๆ และก็มีหน่วยงานข้างนอกเข้ามาบ้าง”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี