the Altar of Veit Stoss
นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโปแลนด์ส่วนใหญ่มักเยือนสถานที่ท่องเที่ยวประเภทตัวเมืองเก่า พระราชวัง หรือมิวเซียมที่เกี่ยวเนื่องกับสงคราม แต่ยังมีสถานที่อีกแห่งที่น่าสนใจ นั่นคือ โบสถ์ แต่เนื่องจากโปแลนด์เป็นประเทศที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน โบสถ์ที่รอดพ้นสงครามจึงมีน้อย โบสถ์แห่งหนึ่งที่น่าสนใจในเมือง Krakow ก็คือ St.Mary Basilica หรือ Church of Our Lady Assumed into Heaven โบสถ์ข้างตลาดกลางเมืองที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 นี้เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแนวโกธิกที่สำคัญของประเทศ
โบสถ์ที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ได้รับการต่อเติมหลายครั้ง แท่นบูชาหลักของโบสถ์ที่ชื่อ the Altar of Veit Stoss ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแท่นบูชายุคโกธิคที่สวยที่สุดในยุโรปนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1477 โดยสร้างเป็น 5 ตอนจากไม้ 3 ชนิด แท่นบูชาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระแม่มารีและการช่วยให้รอด เรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษของพระเยซู พระแม่มารีที่ถูกล้อมรอบด้วยสาวกของพระเยซู การสวมมงกุฎให้พระแม่มารีเป็นราชินีของสวรรค์ พร้อมกันนั้นก็มีการทำบันไดแท่นบูชาใต้หลังคาโค้งในช่วงเวลาเดียวกันซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงหน้าตา 3 บานเท่านั้นที่ยังเป็นของเก่า
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 โบสถ์ ก็ได้รับการต่อเติมให้มีหอคอยสูงถึง 80 เมตร เพื่อใช้ในการป้องกันเมือง และเป็นที่ติดตั้งระฆังใช้ตีบอกเวลาทุกชั่วโมงเพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของนักเป่าแตรที่ส่งสัญญาณให้ประชาชนหนีเมื่อโมกุลมารุกราน และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็มีการสร้างหอคอยที่สูง 69 เมตร หรือที่เรียกว่า Bell Tower โดยตำแหน่งที่ตั้งระฆังเป็นที่ตั้งของห้องสวดมนต์ St.Paul ซึ่งถูกออกแบบโดยBartolommeo Berecci ตามแนวศิลปะแบบเรอเนสซองส์อิตาลี การที่หอคอยทั้งสองมีความสูงต่างกันมากจึงมีตำนานเล่าว่าหอคอยทั้งสองนี้ได้ถูกจ้างให้ออกแบบโดยสถาปนิก 2 คน ที่เป็นพี่น้องกัน เนื่องจากคนพี่ออกแบบหอคอยอันสูง แต่สถาปนิกคนน้องอิจฉาจึงใช้มีดแทงพี่ชายเสียชีวิตและสร้างหอคอยของตัวเองให้สูงกว่าพี่ชายแต่ในวันเปิดหอคอย เขาสำนึกผิดเลยสารภาพว่าตัวเองเป็นคนฆ่าพี่ชายและฆ่าตัวตายด้วยมีดที่ใช้แทงพี่ชายและมีดเล่มนั้นยังคงแขวนที่ประตูของ Cloth Hall จนถึงปัจจุบัน แต่อีกตำนานเล่าว่าหลังจากที่น้องชายฆ่าพี่ชายแล้ว หอคอยด้านใต้ได้รับการก่อสร้างจนแล้วเสร็จด้วยฝีมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่น้องชายจะตกจากหอคอยลงมาตาย
นอกจากตำนานการสร้างหอคอยแล้ว หอคอยนี้ยังมีตำนานเกี่ยวกับการแจ้งเตือนภัยด้วย ในยุคกลาง การแจ้งเตือนภัยมักถูกกระทำที่หอคอยอันสูงซึ่งถูกใช้เป็นที่เฝ้าระวังเมืองด้วย การแจ้งเตือนประกอบด้วยการบอกเวลาเปิดปิดประตูเมือง แจ้งเตือนไฟไหม้หรือมีศัตรูบุก แต่เมื่อโปแลนด์ถูกบุกโดยชาว Tatars ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 รัฐบาลจึงสั่งให้ยามเฝ้าหอคอยตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อยามเห็นชาว Tatars เขาก็เริ่มส่งสัญญาณเตือน แต่ยามกลับถูกธนูยิงของชาว Tatars ยิงเข้าที่คอจนเสียชีวิต
ส่วนที่นั่งในโบสถ์ใต้หลังคาโค้งที่ถูกจัดวางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี้ได้รับการตกแต่งด้วยรูปพระเยซูและพระแม่มารี ด้านนอกหน้าต่างของหอสวดมนต์มีระฆังซึ่งถูกแกะสลักโดย Kacper Koerber of Wroclaw ในปี 1736 ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โบสถ์ได้รับการตกแต่งด้วยแนวทางศิลปะที่วิจิตรตระการตาขึ้นเป็นแบบบาโรคโดยการควบคุมของ Francesco Placidi โดยเลียนแบบโบสถ์ Church of the Holy Sepulchre ในเยรูซาเรม ส่วนของประตูตกแต่งด้วยผลงานประติมากรรมเป็นรูปของผู้พยากรณ์ สาวกของพระเยซู และเซนต์ของชาวโปลล์โดย Karol Hukan สำหรับกระจกสีนั้นเป็นผลงานของศิลปิน Stanislaw Wyspianski ศิลปินดังชาวโปลแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19
นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสเยือนโบสถ์แห่งนี้จะได้มีประสบการณ์กับศิลปะที่หลากหลายแนวแต่ก็ดูสวยงามกลมกลืนอย่างไม่มีที่ติสมกับเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโปแลนด์เลยทีเดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี