เคยรู้สึกไหมว่าใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงมากแค่ไหน แต่ก็ยังรู้สึกแห้งขาดความชุ่มชื่น จนหลายคนคิดว่าตัวเองเป็นคนผิวแห้งและประโคมใช้สารพัดครีมสำหรับผิวแห้ง ก็ยังไม่ดีขึ้น หรือบางคนก็หน้ามันมาก ก็ประโคมใช้ครีมบำรุงจนผิวยิ่งขาดความชุ่มชื่นมากไปอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่ใช่คนผิวแห้งหรือผิวมันหรอก แต่เป็นเพราะ “ผิวขาดน้ำ” ต่างหาก แล้วเจ้าอาการผิวขาดน้ำเป็นอย่างไร จะรู้ได้อย่างไร
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ป่วน สุทธิพินิจธรรม นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เผยว่า ผิวหนังขาดน้ำ สาเหตุมาจากการสูญเสียน้ำออกจากผิวหนัง ซึ่งเกิดจากกลไกสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ หนึ่ง ผิวลอกเป็นขุยจากความผิดปกติในการสร้างทำให้เสียความสามารถในการรักษาน้ำไว้ที่ผิวหนัง สอง ชั้นหนังกำพร้ามีการหมุนเวียนเร็วกว่าปกติ ทำให้ไม่มีเวลาพอในการสร้างผิวหนังชั้นนอกสุดหรือชั้นขี้ไคลที่สมบูรณ์ได้ และสาม มีการทำลายของผิวหนังชั้นหนังกำพร้าจากสารเคมี เช่น detergents ทำให้สูญเสียไขมันชั้นหนังกำพร้าไปเป็นผลทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น
“ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อผิวหนังขาดน้ำ ได้แก่ ดื่มน้ำน้อยเกินไป อยู่ในห้องแอร์เป็นส่วนใหญ่ ชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำให้ผิวขาว หลังจากล้างหน้าแล้วไม่รีบทา moisturizer ทันที ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้อยู่ไม่มีคุณสมบัติทำให้ผิวชุ่มชื้นได้อย่างที่กล่าวอ้าง ถึงแม้จะใช้ครีมบำรุงแล้วยังรู้สึกว่าผิวสาก กร้าน อาจมีขุยหรือไม่มีขุยก็ได้แต่ก็ยังมีน้ำมันออกมาเคลือบผิว ไม่ค่อยชอบทาครีมกันแดดหรือชอบลืมทาครีมกันแดด ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีฤทธิ์ในการชะล้างรุนแรง และมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป”
นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ ได้แนะวิธีสังเกตผิวหนังของตัวเองอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะสายเกินแก้ว่า ให้หมั่นสังเกตผิวหนังภายนอกเหมือนมีน้ำมันออกมาเคลือบ เมื่อดูผิวหนังใกล้ๆ จะเห็นริ้วๆ หรือรู้สึกได้ถึงความกร้านคล้ายกับอยู่ใกล้ความร้อนเป็นเวลานาน เมื่อลูบผิวดูรู้สึกว่าผิวไม่นุ่มเนียน ไม่เรียบ ถ้าเป็นมากอาจรู้สึกว่าผิวสากๆอาการที่ว่ามาจะเป็นมากประมาณสายๆ หรือช่วงบ่ายๆ ของวัน พอซับมันแล้วเติมแป้งจะไม่เรียบเนียนเหมือนแต่งตอนเช้า
“หลายคนที่มีอาการผิวหนังขาดน้ำ แต่ทำไมรู้สึกว่าหน้ามัน นั่นเป็นเพราะเมื่อผิวขาดน้ำก็เสมือนว่าผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวจะพยายามผลิตน้ำมันออกมาเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่เสียไป จึงทำให้ผิวมีความมันมากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่อาการขาดน้ำยังไม่ได้รับการแก้ไข หากปล่อยไว้นานจะทำให้ผิวหนังสูญเสียการทำงานขาดความกระชับ ยืดหยุ่น และนำไปสู่ผิวอ่อนแอในที่สุด”
การดูแลรักษาสภาวะผิวหนังขาดน้ำ มีปัจจัยที่ต้องพิจารณาอยู่ 4 ข้อ ได้แก่ หนึ่ง เรื่องของสภาวะแวดล้อมรอบตัวเรามีอิทธิพลต่อการเกิดผิวแห้งอย่างมาก สอง ลักษณะผิวหนังของแต่ละบุคคลว่าแห้งมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับพันธุกรรมของแต่ละคนว่าลักษณะของผิวเป็นอย่างไร หากผิวหนังแห้งไม่มากก็จัดเป็นคนผิวแห้งอย่างไม่เป็นโรค ถ้าลักษณะทางพันธุกรรมมีความผิดปกติมาก ก็อาจเกิดโรคผิวแห้งได้ เช่น เด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้/โรค Ichthyosis สาม อายุ เมื่ออายุย่างเข้าวัยทองต่อมไขมันและเซลล์ผิวหนังจะสร้างสารไขมันลดลง ทำให้เกิดลักษณะผิวแห้ง จึงจำเป็นต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เคลือบผิว และสุดท้ายคือพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล บุคคลใดที่ชอบล้างมือบ่อยๆ ฟอกตัวด้วยสบู่ที่เป็นด่างนาน หรือออกแดดเป็นประจำหรือทำงานอยู่กลางแจ้ง
“เรื่องของผิวหนังนั้นแนะนำให้ดูแลรักษาตนเองให้ดี หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ดูแลรักษาผิวพรรณ ดูแลไม่ให้ผิวไปกระทบกับสารหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น แสงแดด สารพิษต่างๆ รักษาธรรมชาติ เพราะธรรมชาติดี ผิวหนังของเราก็จะดีตามไปด้วย” นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ กล่าวสรุป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี