หลายคนคงจะคุ้นเคยเรื่องเกี่ยวกับความฉลาดทางปัญญาหรือที่เรียกว่า “ไอคิว (IQ)” และ ความฉลาดทางอารมณ์ที่เรียกว่า “อีคิว (EQ)” รวมทั้งความฉลาดทางการบริการเงินทองที่เรียกว่า “เอ็มคิว (MQ) ” กันมานานแล้ว แต่วันนี้อยากจะแนะนำเรื่องราวของความฉลาดทางด้านการดูแลรักษาสุขภาพเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยมและมีชีวิตชีวาที่เรียกว่า “แอลคิว (LQ)” กันบ้าง
ข้อมูลจาก ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กรรมการบริหาร มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เปิดเผยว่า LQ (LongevityQuotient) เป็นความฉลาดที่จำเป็นที่สุดในยุคนี้เพราะเป็นยุคของสังคมผู้สูงวัย เช่น เมืองอะคิตะประเทศญี่ปุ่นมีประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปี ถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดแล้ว ขณะที่กรุงโตเกียวกำลังจะตามมาในอีก 2 ปีข้างหน้าซึ่งเป็นปีที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกพอดี เรียกว่า Tokyo 2020 นี้สังคมญี่ปุ่นก็จะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มตัว และประเทศไทยของเราก็กำลังจะก้าวตามทันในเวลาอีกไม่นานนัก
การเตรียมตัวที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่งการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทคนิคชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพกำลังได้รับความสนใจกันอย่างกว้างขวางทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ มีการสอนในระดับอุดมศึกษาและระดับปริญญาโทในหลายมหาวิทยาลัย จนศาสตร์และศิลปะของการชะลอวัยเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาวและเปี่ยมไปด้วยสมรรถภาพทางกาย และใจนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันกันอีกต่อไป
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า...เราเริ่มแก่ชราแล้ว
การแก่ชราของมนุษย์นั้นไม่ใช่ดูกันแค่ใบหน้า แต่ต้องดูให้ลึกซึ้งถึงกระบวนการแก่ชรา และการตรวจวัดดูสภาพของร่างกายและการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายว่ายังคงทำงานอยู่ในสภาพที่ดีสักขนาดไหน ส่วนการไปตรวจประจำปีตามมาตรฐานของการตรวจสุขภาพทั่วๆ ไปนั้นเขาจะตรวจว่าเรามีโรคภัยไข้เจ็บอะไรอยู่บ้างเพื่อที่จะได้ทำการรักษาแต่เนิ่นๆ ตามหลักการของการแพทย์ในแนวป้องกัน ซึ่งก็ยังดีกว่ารอป่วยเป็นโรคแล้วค่อยมารักษาเหมือนในอดีต
แต่ทราบกันไหมว่า ถ้าเราไปตรวจสุขภาพแล้วพบว่า เรามีน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นเบาหวานแล้ว ตอนนั้นตับอ่อนของเราที่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาลน่าจะเสื่อมไปแล้วสัก 80 % หรือไปตรวจพบว่าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน โอกาสที่เส้นเลือดจะเสื่อมไปแล้วก็เกือบ 80 % เช่นกัน นี่เป็นกฎที่เรียกกันว่า 80:20
แต่จะดีขึ้นไหมถ้าสามารถที่จะตรวจให้ทราบว่าเรากำลังอยู่ในภาวะเสื่อม รวมทั้งถ้าสามารถที่จะพยากรณ์ล่วงหน้าว่าถ้าเราทราบแล้วว่าเรากำลังอยู่ในภาวะเสื่อม และทราบว่าอวัยวะใดของเราเสื่อมไปก่อนเวลาอันควร เพื่อที่จะได้ปรับปรุงวิถีทางในการดำเนินชีวิตไม่ว่าจะเป็นการอยู่ การกิน การนอน รวมทั้งการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและการดำเนินชีวิตของเรา
การตรวจวิเคราะห์แบบนี้เรียกว่า การตรวจหาดัชนีอายุยืน
มีการศึกษาวิจัยถึงตัวแปรและปัจจัยต่างๆที่ถ้าได้ปรับปรุงแล้วจะทำให้มีอายุยืนขี้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเป็นการศึกษาวิจัยเชิงประจักษ์ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชั้นนำมาแล้วหลายปัจจัย
ปัจจัยแรกเป็นระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ที่พบว่าคนที่มีระดับของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในระดับที่ดีเป็นปกติจะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่มีระดับฮอร์โมนตัวนี้ในระดับต่ำ ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนนั้นมีอยู่ในทั้งผู้ชายและผู้หญิงไม่ใช่เป็นแค่ฮอร์โมนเพศชายอย่างที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน
ปัจจัยต่อๆ มาก็คือ ระดับของน้ำตาลสะสม (ที่เรียกว่า HbA1C) ระดับและสัดส่วนของไขมันชนิดต่างๆในร่างกาย ค่าของความดันโลหิตพฤติกรรมในการดำรงชีวิต ความเครียดในชีวิตประจำวัน ดัชนีมวลกาย สมรรถนะของร่างกายทางด้านกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหว ฯลฯ
เมื่อได้ค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่จะทำให้อายุยืนยาว แล้ว เราก็ต้องเอามาชั่งน้ำหนักว่าดัชนีย่อยๆรายใดที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยอายุยืนของเรานั้นมีส่วนมากน้อยในการทำให้เราอายุยืนโดยอาศัยข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่มีการตรวจสอบรวบรวมมาแล้ว มาเข้าโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Artificial Intelligence หรือเรียกแบบไทยๆ ว่า ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้ได้ออกมาเป็นค่ามาตรฐานที่สามารถจะตรวจสอบทบทวนได้ และสามารถเทียบเคียงได้ในระยะเวลาต่างๆ ที่ผ่านไปและจะบอกว่าควรจะปรับปรุงพฤติกรรมในการดำรงชีวิตในแต่ละปัจจัยเสี่ยงแบบใดค่าดัชนีที่ชี้บ่งการมีอายุยืนจะดีขึ้นซึ่งเมื่อผู้ที่ได้รับการตรวจทำตามคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแลร่วมกับแนวทางที่ปัญญาประดิษฐ์แนะนำแล้ว ก็จะทำให้ดัชนีที่ชี้บ่งการมีอายุยืนดีขึ้น นับเป็นแนวทางการดูแลสุขภาพที่มีดัชนีชี้วัดที่สามารถตรวจสอบได้เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่ใช้ความรู้สึกว่าดีขึ้นหรือผู้ดูแลบอกว่าดีขึ้น แต่ไม่มีดัชนีอะไรที่จะชี้วัด
ในยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้และมีความจริงทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นรากฐาน ในยุคต่อไปนี้การแพทย์ในอนาคตจะเป็นการแพทย์ในแนวทางส่งเสริมสุขภาพให้ร่างกายมีสมรรถภาพดี ลดการเจ็บป่วยน้อยลง ให้มีพลังชีวิตมากขึ้นและทุกคนที่อยากมีอายุยืนยาวอย่างเป็นสุขจะต้องเรียนรู้ที่จะเป็นหมอ หรือ ผู้ดูแลตนเองให้ได้
เช่น การรู้จักการนอนหลับที่สนิทและมีคุณภาพ เพราะการนอนหลับที่ดีนั้นเป็นรากฐานของการมีอายุยืนยาว มีระดับของฮอร์โมนที่ป้องกันการแก่ชราที่ส่วนใหญ่จะผลิตในตอนกลางคืนขณะนอนหลับสนิทในความมืดในระดับที่เหมาะสมและพอเพียง คนที่นอนหลับสนิทจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี มีรูปร่างที่สมดุลทั้งกล้ามเนื้อและไขมันพูดง่ายๆก็คือ มีรูปร่างที่สมส่วน ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพดีในระยะยาวแล้วยังทำให้เกิดความมั่นใจในการเข้าสังคมอีกด้วย
การเรียนรู้ที่จะใช้ดัชนีอายุยืนมาวัดตัวเองว่า ควรจะปรับปรุงแนวทางการดำเนินชีวิตแบบใด กินอยู่นอนหลับและออกกำลังกาย รวมทั้งมีวิธีการผ่อนคลายความเครียดอย่างไร เพื่อที่จะได้เกิดดุลยภาพแห่งชีวิตซึ่งเป็นดัชนีอายุยืน ที่สำคัญที่สุด
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี