แผ่นดินไทยแห่งนี้พบว่ามีเมืองเก่าที่เจริญรุ่งเรืองและปรากฏชื่อเสียงนั้นอยู่หลายแห่ง อาทิตย์นี้ขอแนะนำเมืองที่อยู่ในสมัยสุวรรณภูมเมืองหนึ่งคือ เมืองแพรกศรีราชา เล่าอย่างนี้คงไม่รู้จักกัน ปัจจุบันเมืองนี้อยู่ในพื้นที่อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่นํ้าน้อย ในอดีตเป็นเมืองสำคัญถูกตั้งกันมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยและต่อเนื่องมาจนถึงสมัยอยุธยา ทำให้โบราณสถานหลายแห่งที่เหลืออยู่จึงมีร่องรอยศิลปะงดงามอย่างน่าสนใจ โบราณสถานส่วนใหญ่เป็นศิลปะสุวรรณภูมิและศิลปะอโยธยาที่รู้จักกันในชื่อศิลปะอู่ทอง ด้วยเป็นศิลปะที่เกิดขึ้นก่อนตั้งอาณาจักรอยุธยา วัดสำคัญของเมืองนี้มีหลายวัดอยู่ไม่ห่างกันนักประมาณ 200-400 เมตร เช่นวัดมหาธาตุ วัดพระยาแพรก วัดสองพี่น้องวัดโตนดหลาย วัดพระแก้ว และวัดสกุณารามที่อยู่ห่าง 2 กิโลเมตร
พระพุทธรูปปูนปั้้นเมืองแพรกศรีราชา
พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง
เมืองแพรกศรีราชา ปรากฏชื่อครั้งแรกในศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยสุโขทัย และ เอกสารโบราณอื่นๆ เป็นเมืองที่เกิดและเจริญร่วมสมัยกับเมืองสุพรรณภูมิ เมืองลพบุรี เมืองสุโขทัย และเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยอยุธยา ดังนั้นสภาพการตั้งเมืองที่นี่จึงมีความซับซ้อนเพราะเป็นชุมชนที่เกิดและได้รับการฟื้นฟูขึ้นตามยุคสมัยอย่างต่อเนื่องด้วย เมืองแพรกศรีราชานั้นมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรสุวรรณภูมิ ในพระราชพงศาวดารสมัยอยุธยานั้นได้กล่าวถึงสมเด็จพระนครินทราธิราชจากอาณาจักรสุวรรณภูมิได้ครองกรุงศรีอยุธยานั้น พระองค์โปรดฯให้พระราชโอรสทั้งสามคือเจ้ายี่พระยา ปกครองเมืองแพรกศรีราชา และเจ้าสามพระยา ครองเมืองชัยนาท ส่วนเจ้าอ้ายพระยานั้น ปกครองเมืองสุพรรณบุรี ครั้นเมื่อสิ้นรัชกาล เจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาได้ยุทธหัตถีแย่งชิงอำนาจกันที่เชิงสะพานถ่าน ซึ่งสู้รบกันจนสิ้นพระชนม์ทั้งสองพระองค์ ทำให้เจ้าสามพระยาได้ครองราชย์เป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ครั้งนั้นได้สร้างวัดราชบูรณะขึ้นอุทิศกุศลให้พระราชบิดาและพระเจ้าพี่ทั้งสององค์ โดยเฉพาะปรางค์ประธานของวัดแห่งนี้ได้บรรจุเครื่องทองเป็นพุทธบูชาในกรุกลางองค์พระปรางค์ที่สร้างเป็นห้องเก็บเฉพาะ
เจดีย์วัดพระยาแพรก
โบราณสถานเมืองแพรกศรีราชาที่เหลืออยู่นั้นต่อมาได้รับการบูรณะต่ออายุให้เห็นในปัจจุบันนั้นมี วัดมหาธาตุ เป็นวัดขนาดใหญ่อยู่ริมแม่นํ้าน้อย เดิมชื่อวัดหัวเมืองหรือวัดศีรษะเมือง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอโยธยาศรีรามเทพนคร ก่อนสมัยอยุธยา และได้รับการบูรณะในสมัยอยุธยาสมัยที่เจ้ายี่พระยาครองเมืองแพรกศรีราชานั้น วัดนี้น่าจะเจริญรุ่งเรืองมากแล้วถูกทิ้งร้างต่อมาพ.ศ.2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ได้เสด็จประพาสต้นมาที่วัดแห่งนี้ ด้วยเป็นโบราณสถานที่ได้รับอิทธิพลจากขอม พระปรางค์กลีบมะเฟืององค์นี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างเมืองสรรคบุรีโดยตรงกล่าวคือ ปรางค์กลีบ
ฐานเจดีย์เก่าหลังโบสถ์
มะเฟืองตั้งอยู่ข้างหน้าวิหารด้านซ้าย องค์ปรางค์ลักษณะคล้ายปรางค์กลีบมะเฟืองแบบเดียวกับพระปรางค์วัดมหาธาตุ จ.ลพบุรีสูงราว 20 เมตร เป็นสถาปัตยกรรมนิยมในสมัยอู่ทอง กล่าวคือกลีบมะเฟืองบนองค์ปรางค์มีทั้งหมด 28 กลีบ เป็นคติที่หมายถึงดาวฤกษ์ 28 กลุ่ม ตามคัมภีร์ของลัทธิมหายานกรม กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 และได้บูรณะเมื่อปีพ.ศ.2526 วิหารเก่าที่เหลือเพียงพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง เป็นวิหารศิลปะอยุธยาตอนต้นมีฐานเจดีย์เก่าและโบสถ์เดิมเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้น ซึ่งมีลักษณะเด่นที่เสาทุกต้นมีบัวหัวเสาประดับอันนิยมกันมากในยุคนั้น โดยเฉพาะการสร้างหลังคาคลุมมาจนถึงมุกทางขึ้นด้านหน้า นอกจากนี้ยังมีเสาหินหลักเมืองและพระพุทธรูปปูนปั้นอีกหลายองค์ ถือเป็นวัดคามวาสีของเมือง ส่วนวัดอรัญวาสีนอกเมืองนั้นคือวัดพระแก้ว หลักฐานสำคัญที่น่าสนใจคือเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วัดโตนดหลาย ซึ่งเป็นหลักฐานสมัยสุโขทัย นี่คือ ภูมิสถานที่เป็นเมืองลูกหลวงของสุวรรณภูมิ และเป็นเมืองเดียวกับที่รู้จักกันว่า เมืองสรรคบุรี ในปัจจุบัน
ปรางค์กลีบมะเฟืองอิทธิพลขอม
ลายปูนปั้้นปรางค์กลีบมะเฟือง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี