8 ทีม สตาร์ทอัพ “GovTech Mission – One Nation, One Mission ยกระดับประเทศไทย”
สถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (FIT) เปิดตัวทีมชนะเลิศ 8 ทีม สุดยอดสตาร์ทอัพด้านการศึกษา (EdTech) และด้านสาธารณสุข (Heath Tech) ภายใต้โครงการ “GovTech Mission - One Nation,One Mission ยกระดับประเทศไทย” เวทีที่เปิดให้คนรุ่นใหม่ และ Startup ที่มีความมุ่งมั่นและมีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วประเทศ มาร่วมกันแข่งขันออกแบบแผนงานที่ผสมผสานกับการนำเทคโนโลยีใหม่มาประยุกต์ใช้ เพื่อหาคำตอบที่ลงตัวให้กับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ชิงเงินรางวัลกว่า 7 แสนบาท เดินหน้าเทคโนโลยีสู่การสร้างต้นแบบและพัฒนาสู่ระดับนโยบายต่อไป
ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ผอ.FIT
ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ผู้อำนวยการด้านนโยบายสาธารณะสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (FIT) กล่าวว่า ทีมสตาร์ทอัพด้านการศึกษาทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ทีม CareerVisa (แคเรียร์วีซ่า) แพลตฟอร์มแนะแนวอาชีพครบวงจร แอพพลิเคชั่นแรกในประเทศไทยที่มีแบบประเมินความเหมาะสมทางอาชีพ จากผู้มีประสบการณ์ในการทำงานหลากหลายสาขาอาชีพ ตั้งแต่ Investment banker ที่ Wall Street หรือนักแสดง Broadway ที่ New York ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยตั้งเป้าช่วยแก้ปัญหานิสิต นักศึกษา ที่จบการศึกษาแล้วให้ได้กว่าปีละ 6 ล้านคน ให้สามารถรู้จักตัวตนของตนเองและเลือกงานได้อย่างเหมาะสม ,ทีมรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม School Bright (รู้จักในนามจับจ่าย) คือ แพลตฟอร์มบริหารจัดการโรงเรียนดิจิทัล เชื่อมโยงครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ในรูปแบบแอพพลิเคชั่นบนมือถือ ซึ่งปัจจุบันมีนักเรียนในระบบมากกว่า 100,000 คนและโรงเรียนมากกว่า 100 โรงเรียน ช่วยลดเวลาการทำงานของครูให้เหลือเพียงแค่15 นาที/วัน และจากการประเมินเวลาที่ครูทั้งประเทศต้องสูญเสียไปกับงานเอกสารต่อวันนั้นคิดแล้วใช้เวลาถึง 15,862 ปี แพลตฟอร์มนี้จึงช่วยคุณครูประหยัดเวลาการทำงานได้ถึง 90%และช่วยลดต้นทุนของโรงเรียนได้ถึง 30%,ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม BASE Playhouse แพลตฟอร์มสร้างความรู้ในรูปแบบเกม ช่วยฝึกทักษะการทำงานจริงให้เกิดขึ้นผ่านการเล่นเกม เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเด็กไทยในศตวรรษที่ 21 เป็นการผสมผสานการทำงานร่วมกันกับทักษะออนไลน์และออฟไลน์ ผ่านบอร์ดเกมที่สำคัญ ซึ่งระบบของเกมหลังจากที่ครูเซตอัพระบบการสอนแล้ว เด็กจะสามารถสร้างทักษะที่สำคัญผ่านบอร์ดเกมที่ผสานหลักการดังกล่าว ที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น การคิดวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์ ทักษะของการสื่อสาร เน้นที่ระดับมัธยมต้น ซึ่งในปัจจุบัน Base Playhouse มีการทดลองใช้งานอยู่ในโรงเรียนเพลินพัฒนาและวชิราวุธ เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ โดยเทคโนโลยีจะสามารถประเมินทักษะผ่านการวัดพฤติกรรมของการเล่นและวัดจากผลลัพธ์ของการผ่านกระบวนการเล่นที่ถูกต้อง,ทีมรองชนะเลิศอันดับ 3 คือทีม VOXY แพลตฟอร์มของการสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ที่ใช้เทคโนโลยี AI คู่ขนานไปกับการสอนสด จากจุดเริ่มต้นของการที่คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แม้ว่าจะใช้งบประมาณมากมายเพียงใดก็ตาม ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวเกิดจากความไม่พร้อมของครู ความไม่กล้าพูดของคนไทย ซึ่งแพลตฟอร์มนี้สอนโดยเจ้าของภาษาตลอด24 ชั่วโมง ผ่านทางแอพพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเลตและคอมพิวเตอร์ รองรับทั้งระบบ “iOS” และ “Android” ที่มีเนื้อหาที่อัพเดทตลอดเวลา เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และองค์กรนั้นๆปัจจุบันมีผู้ใช้แล้วกว่า 5 ล้านคน, ทีมรองชนะเลิศอันดับ 4 ได้แก่ ทีม Codekit คือ แพลตฟอร์มของการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไปสู่เทคโนโลยีที่ยากขึ้น อาทิ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จากความต้องการของแรงงานที่ยังขาดทักษะการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ จะเห็นว่าประเทศไทยยังเน้นการเรียนการสอนผ่านการโค้ตลงกระดาษ นอกจากจะขาดแคลนครูที่มีทักษะของการสอนโค้ตติ้งแล้ว ยังมีอุปสรรคของหลักสูตรทางการศึกษาที่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการเรียนโค้ตที่มากเพียงพอ โดย Codekit จะทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งในผู้ใหญ่ที่ไม่มีพื้นฐานและเด็กระดับมัธยมต้นช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
ดร.ธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ กับ กรณ์ จาติกวณิช และ ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ
สำหรับ 3 ทีมสตาร์ทอัพด้านสาธารณสุข(Health Tech) ที่ได้รับการคัดเลือกมี 3 ทีม ได้แก่ ทีม ARINCARE คือแพลตฟอร์มด้านเภสัชกรที่ใช้ดิจิทัลเข้ามาแทนที่ในการทำงานแบบเดิมๆ จากการสำรวจร้านขายยาในชุมชนพบมากกว่า 21,000 ร้านค้าและผู้ใช้บริการอีกกว่า 11 ล้านคน ยังมีการทำทุกอย่างด้วยมือและออฟไลน์ ขณะที่แพลตฟอร์มร้านขายยานี้เกิดขึ้นเพื่อให้บริการฟรี ทั้งในส่วนของบริหารคลังยา การเก็บข้อมูลคนไข้ การจ่ายยา โดยเปิดบริการให้ใช้ฟรีสำหรับเภสัชกรไทย รวมทั้งยังมีการให้คำปรึกษาและเก็บข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้งาน การบริหารธุรกิจ เป็นการช่วยให้ร้านขายยาชุมชนสามารถทรานฟอร์มเข้าสู่ดิจิทัลได้อย่างง่ายดายอีกด้วย รวมทั้งสามารถให้บริการได้กว่า 2,000 ร้านยาและสามารถจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้มากกว่า 30,000 รายในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ระบบยังสามารถทำงานร่วมกับการให้บริการโรงพยาบาลชุมชน หรือหน่วยงานสาธารณสุขชุมชนในการบริหารคลังยา และในอนาคตจะมีการเชื่อมข้อมูลในการใช้ยานอกโรงพยาบาลเหล่านี้เข้าสู่ระบบของโรงพยาบาล เพื่อให้กลายเป็นฐานข้อมูลหนึ่งเดียวกัน, ทีมรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Medisee แพลตฟอร์มการบริการของคลินิก ทั้งรูปแบบบริการและบริหารจัดการที่ครบครัน ซึ่งเปิดโอกาสให้คนไข้ที่มีผลการรักษา สามารถนำผลดังกล่าวเข้ามารับคำปรึกษาจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะได้ เป็นการช่วยเสริมให้ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากของการรักษาได้เป็นอย่างมาก ทีมรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Remote-Care แพลตฟอร์มการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวันให้สนุก โดยระบบการทำงานจะเชื่อมเข้ากับอุปกรณ์ตรวจวัด WearableDevice เพื่อการวัดสุขภาพต่างๆ เข้ากับแอพพลิเคชั่นและสร้างรางวัลการดูแลสุขภาพจากการนับก้าวเพื่อแลกเป็นรางวัล ซึ่งปัจจุบันมีเป็นรูปแบบเงินสดและมีโรงพยาบาลภาครัฐใช้งานอยู่ 2 แห่ง และเอกชนบางแห่ง โดยมุ่งเน้นไปกลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือโรคอ้วนที่เป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ ที่รัฐต้องอุดหนุนการรักษากว่า 8.5 ล้านคน ด้วยงบประมาณกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท
สตาร์ทอัพทีม Jabjai (School Bright)
พริษฐ์ วัชรสินธุ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ GovTech Mission-One Nations, One Mission ยกระดับประเทศไทย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในการแก้ไขปัญหาด้วยเทคโนโลยี ซึ่งตอบโจทย์ปัญหาด้านการศึกษา และด้านสาธารณสุข รวมถึงการเปิดรับนโยบายแนวคิดใหม่ๆ เพราะปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ภาคเอกชนรู้เรื่องเหล่านี้มากที่สุด และการดำเนินโครงการ จึงเป็นการนำเทคโนโลยีต่างๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) แอพพลิเคชั่นเข้ามาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาได้ถูกจุดและตรงกับความต้องการ และทำได้เห็นผลจริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี