“พระราชพิธีเบื้องปลาย” ประกอบด้วยการเสด็จออกมหาสมาคม สถาปนาสมเด็จพระบรมราชินี แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกในพระบวรพุทธศาสนา ถวายบังคมพระบรมศพพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนๆ เสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร และเสด็จฯเลียบพระนคร
อนึ่ง “พระราชพิธีเบื้องปลายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแต่ละรัชกาลมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป” เช่น เดิมการเสด็จออกมหาสมาคมโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเข้าเฝ้าฯ เพื่อรับการถวายราชสมบัติจากนั้นท้าวนางกราบบังคมทูลถวายสิบสองพระกำนัล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โปรดให้ยกเลิกพิธีส่วนนี้ มีเพียงการถวายพระพรชัยมงคลจากขุนนางฝ่ายหน้าและข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายในเท่านั้น
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ทรงพระมหาพิชัยมงกุฎ ประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ บนพระแท่นราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยมหาดเล็กเชิญเครื่องบรมอิสริยราชูปโภคตามตำแหน่ง เสด็จออกมหาสมาคม ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ ท้องพระโรง พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
ในรัชกาลที่ 6 โปรดให้ทำพิธีประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกในพระบวรพุทธศาสนา ซึ่งทำสืบมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) นอกจากนี้ในรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9มีการสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีด้วย
เครื่องราชูปโภค พระแสงตรี พระแสงจักร พระแสงดาบ พระแสงธนู วาลวิชนี และฉลองพระบาท
“การเฉลิมพระราชมณเฑียร” เป็นพระราชพิธีสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกพิธีหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษกนี้ ที่แท้เป็น 2 พิธี คือพิธีราชาภิเษก (เฉลิมพระยศ) และพิธีเฉลิมราชมณเฑียร (เสด็จขึ้นประทับพระราชมณเฑียรสถาน) ทั้ง 2 พิธีไม่จำเป็นต้องทำด้วยกัน ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า เคยทำห่างกันเป็น 2 คราวก็มี เครื่องที่เชิญตามเสด็จขึ้นไปประทับพระที่นั่งจักรวรรดิพิมาน ประกอบด้วยเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียรและเครื่องราชูปโภค
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ประทับพระที่นั่งภัทรบิฐมนังคศิลารัตนสิงหาสน์ ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
“เครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร” ได้แก่ วิฬาร์ (แมว) ศิลาบด พันธุ์พืชมงคล ฟักเขียว กุญแจทองจั่นหมากทอง ต่อมาสิ่งของสำหรับการพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรได้เพิ่มมากขึ้น เช่นในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เริ่มใช้พระแส้หางช้างเผือกผู้ สมัยรัชกาลที่ 7 มีการอุ้มไก่ขาวเข้าร่วมพระราชพิธี ผู้อุ้มไก่ขาวจะเป็นผู้เชิญธารพระกรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วย การเชิญเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร แต่โบราณกำหนดให้เฉพาะนางเชื้อพระวงศ์เป็นผู้เชิญ ซึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์คือ พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับพระที่นั่งบุษบกมาลา เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าละอองธุลีพระบาท เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
“หลังจากการเฉลิมพระราชมณเฑียรจะเป็นพิธีเสด็จออกสดับพระธรรมเทศนา”เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยพระมหากษัตริย์เสด็จออกสดับพระธรรมเทศนา ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย สมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะที่ถวายเทศน์นี้ขึ้นนั่งบนพระแท่นพระมหาเศวตฉัตร มิได้นั่งเทศน์บนธรรมาสน์ธรรมดาเช่นการถวายเทศน์ในพระราชพิธีอื่น ส่วนรายละเอียดพระธรรมเทศนาแตกต่างกันไปในแต่ละรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร อ่านประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนาหม่อมเจ้ารำไพพรรณี พระวรราชชายา ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2468
“เมื่อพิธีการถวายพระธรรมเทศนาเสร็จสิ้นแล้ว ถือเป็นอันเสร็จงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ประกอบขึ้นในพระราชฐาน หลังจากนั้นจึงเป็นพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและทางชลมารค” เพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ได้เฝ้าชมพระบารมี ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1)-พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) เสด็จฯเลียบพระนครทางสถลมารคแต่เพียงอย่างเดียว
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ทรงเจิมพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 4) มีทั้งทางสถลมารคและทางชลมารค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) มีแต่ทางสถลมารค พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)-พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) มีทั้งทางสถลมารคและทางชลมารค ส่วนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ไม่ได้เสด็จฯเลียบพระนคร ทั้งนี้หลังจากพิธีเสด็จฯเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราจึงเป็นอันเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างสมบูรณ์ตามแบบโบราณราชประเพณี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493
“พระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีความสำคัญอย่างยิ่งในประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของประเทศ” โดยเฉพาะราชอาณาจักรไทย ที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของอาณาประชาราษฎร์ เนื่องจากพระราชพิธีดังกล่าวเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศว่าเป็นพระราชาธิบดีหรือพระมหากษัตริย์ของประเทศนั้นโดยสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงการยอมรับจากประชาชนและนานาอารยประเทศ ทั้งยังเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวของคนในชาติอีกด้วย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ พร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายหน้าเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องราชูปโภคและพระแสงราชศาสตราวุธ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2468
สุภาพสตรีเชิญเครื่องราชูปโภคและเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร ในพระราชพิธีพระราชมณเฑียร ตั้งกระบวน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493
สุภาพสตรีเชิญเครื่องราชูปโภคและเครื่องเฉลิมพระราชมณเฑียร ในพระราชพิธีพระราชมณเฑียร ตั้งกระบวน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินจากพลับพลาเปลื้องเครื่อง ประทับพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ในขบวนเสด็จพยุหยาตราทางสถลมารคเลียบพระนคร ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช วันที่ 3 ธันวาคม พุทธศักราช 2454
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินจากพลับพลาเปลื้องเครื่อง ประทับพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ในขบวนเสด็จพยุหยาตราทางสถลมารคเลียบพระนคร ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช วันที่ 3 ธันวาคม พุทธศักราช 2454
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จออกสีหบัญชร พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล วันที่ 7 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคเลียบพระนคร
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินประทัับพระที่นั่งบุษบก ในเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ณ ท่าวัดอรุณราชวราราม วันที่ 3 มีนาคม พุทธศักราช 2468
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินประทักษิณรอบพระมหามณเฑียรผ่านเก๋งนารายณ์ ท้ายหอพระธาตุมณเฑียร วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493
ธารพระกร ของเดิมสร้างขึ้นมาแต่ครั้งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทอง หัวและส้นเป็นเหล็ก คร่ำลายทอง ที่สุดส้นเป็นซ่อมสามง่าม เรียกธารพระกร ของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 ทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป มีลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกรจึงทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์ออกใช้อีก ยกเลิกธารพระกรเทวรูป เพราะทรงพอพระราชหฤทัยในของเก่าๆ จึงคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลต่อมา
(ข้อมูลจากหนังสือ “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” โดยกระทรวงวัฒนธรรม)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี