ยุคนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญขึ้นมากแต่ยังมีวิธีที่สามารถทำได้ไม่ยากและไม่ต้องเสียเงินมากซึ่งเป็นการชะลอวัยโดยใช้วิธีธรรมชาติเน้นการมีสุขภาพที่ดีตลอดอายุของคนเรา วันนี้มีเคล็ดลับจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวชนักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ (สหรัฐอเมริกา) และ กรรมการบริหาร มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ มาฝาก คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ร่างกายได้สารอาหารเพื่อชะลอวัยอย่างเพียงพอ เพราะทุกวันนี้คนเราใช้ชีวิตเร่งรีบแข่งกับเวลาจนลืมที่จะใส่ใจกับการเลือกสรรการกินที่จะเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย แทนที่จะได้สารอาหารดีๆ บำรุงเลี้ยงเซลล์ในร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ กลับกลายเป็นเติมสารเร่งแก่ให้กับร่างกาย
ความแก่เป็นผลมาจากการที่เซลล์ในร่างกายเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผลที่ตามมาคือการทำงานของอวัยวะค่อยๆลดลง และรูปลักษณ์ภายนอกเริ่มเปลี่ยนไป อนุมูลอิสระสารเร่งแก่เร่งโรค อนุมูลอิสระเป็นผลพวงจากการทำงานในระบบเผาผลาญของร่างกายที่ต้องหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปใช้ในร่างกาย ปฏิกิริยาเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกันอนุมูลอิสระจากปัจจัยภายนอกร่างกายอาจมาจากการสูบบุหรี่ หรือหายใจเอาควันบุหรี่ ควันรถเข้าไป ดื่มแอลกอฮอล์กินอาหารไขมันสูง อยู่ในที่มีมลพิษ หรือได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์มากไปเป็นประจำ ทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้นถ้าเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการแก้ไข จะเป็นอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ทำให้เซลล์อ่อนแอลงโปรตีนก็แปรเปลี่ยนสภาพยีนหรือดีเอ็นเอ กลายพันธุ์ เซลล์ถูกทำลายหรือตายลง ฉะนั้นอนุมูลอิสระที่สะสมในร่างกายจึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แก่ก่อนวัย และมีโรคตามมา เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง กระดูกพรุนอัลไซเมอร์ เป็นต้น
สารแอนติออกซิแดนท์ต้านแก่ ต้านโรค
โชคดีที่ร่างกายเรามีวิธีการรับมือกับอนุมูลอิสระ 2 วิธี คือ วิธีแรก โดยธรรมชาติให้มาโดยที่ร่างกายสามารถสร้างสารแอนติ
ออกซิแดนท์ต่อต้านอนุมูลอิสระเองได้ในรูปเอนไซม์หลายๆ ชนิด สารแอนติออกซิแดนท์จะทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังอนุมูลอิสระหรือยับยั้งฤทธิ์อนุมูลอิสระ อีกวิธีหนึ่งโดยการกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงเพื่อให้เพียงพอกับการต้านอนุมูลอิสระ สารแอนติออกซิแดนท์เป็นศัตรูสำคัญของอนุมูลอิสระที่จะช่วยป้องกันเซลล์และเนื้อเยื่อถูกทำลาย สารแอนติออกซิแดนท์ ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมายในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับวัยที่เพิ่มขึ้น เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อมนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานซึ่งมีผลในการป้องกันโรค และการติดเชื้อ ป้องกันระบบประสาทและสมองจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ทำให้ความจำเสื่อม ช่วยการทำงานของนาฬิกาในร่างกาย ป้องกันหรืออย่างน้อยที่สุดชะลอวัย
งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่า อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยป้องกันไม่ให้เราแก่ก่อนวัย และสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีมากในผัก ผลไม้ ที่เราสามารถกินได้ทุกวันคนที่มีระบบแอนติออกซิแดนท์ในร่างกายดีจะดูอ่อนวัย สุขภาพดี มีความคิดความอ่านไวไม่เฉื่อยชา มีงานวิจัยมากมายที่รายงานว่าผู้ที่กินสารแอนติออกซิแดนท์มาก จะมีระดับสารแอนติออกซิแดนท์ในเลือดสูง และมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง ต้อกระจก ข้อเสื่อม และโรคอื่นๆ น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังแข็งแรงและกระฉับกระเฉงกว่าผู้ที่มีระดับสารแอนติออกซิแดนท์ในเลือดต่ำ
สารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ สารแคโรทีนอยด์ วิตามินซี วิตามินอี และสารฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ชะลอแก่ ผลไม้ที่มีฤทธิ์ของการต้านอนุมูลอิสระสูงสุด ได้แก่ พรุนและบิลเบอร์รี่ หรือบลูเบอร์รี่ ผักที่มีสารแอนติออกซิแดนท์มากที่สุดตามข้อมูลการวิจัย ได้แก่ บร็อคโคลีกระเทียม ต้นกระเทียม ต้นหอม แรดดิชสปินิช (ผักโขม) หัวหอม บีทรูท อาร์ติโชก เป็นต้น
การเติมสารแอนติออกซิแดนท์ให้ร่างกาย
เราจะมีวิธีการเติมสารแอนติออกซิแดนท์ให้ร่างกายได้ไม่ยาก เพียงกินผักผลไม้ให้หลากหลายสี อย่างน้อยที่สุดวันละ 5-8 อุ้งมือ ธัญพืชไม่ขัดสีวันละ 3 อุ้งมือ เราก็จะได้สารแอนติออกซิแดนท์ในปริมาณที่ร่างกายต้องการ สีของผักผลไม้บ่งบอกถึงสารอาหารต่างๆ กันที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีข้อแนะนำดังนี้
-กินผักใบเขียวจัดวันละ 1-2 อุ้งมือ เพราะมีกรดโฟลิก (วิตามินบีชนิดหนึ่ง) และสารลูทีนสูง กรดโฟลิกช่วยสร้างเม็ดเลือดป้องกันโลหิตจาง ลดความเสี่ยงโรคหลอดประสาททารกในครรภ์เปิด ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สมองเสื่อม สารลูทีนช่วยบำรุงสายตา หัวใจ และป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีสูง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานและชะลอวัย
-กินผักหรือผลไม้สีเหลืองหรือส้มจัด เช่น แครอท ฟักทอง มันเทศ ข้าวโพดหวาน คะน้า มะม่วงสุก มะปราง ขนุน แคนตาลูป กล้วยไข่เป็นต้น จะได้สารเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอ บำรุงสายตา ช่วยการมองเห็นในที่มืด บำรุงผิวพรรณ ต้านการติดเชื้อ เพิ่มภูมิต้านทาน ร่วมเสริมสร้างสุขภาพกระดูก ผักใบเขียวก็ยังมีเบต้าแคโรทีนสูง แต่สีของ
คลอโรฟิลล์จะบดบังสีของเบต้าแคโรทีน เช่นบร็อคโคลี คะน้า ผักบุ้ง เป็นต้น
-กินผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงวันละอย่าง เพื่อป้องกันต้อกระจกซึ่งเป็นโรคที่มักเกิดในผู้สูงวัย โรคหัวใจและมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยให้แผลหายเร็ว รักษาสุขภาพเหงือกและฟัน ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ผลไม้ตระกูลส้ม ฝรั่ง สับปะรด กีวี มะขามป้อมส่วนในผัก ได้แก่ พริกหวาน มะเขือเทศ บร็อคโคลี
-กินผักและผลไม้ที่มีสีม่วง หรือน้ำเงินเข้มเช่น บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ พลัม หรือพรุนสด แบล็คเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ หอมแดง มันที่มีเนื้อสีแดง แรดดิช มีสารแอนโธไซยานิดินส์ซึ่งอยู่ในกลุ่มของสารฟลาโวนอยด์มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ช่วยบำรุงสายตา ชะลอความเสื่อมของตา เสริมสร้างสุขภาพหลอดเลือด ช่วยลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ป้องกันโรคหัวใจ
-กินผักและผลไม้ที่มีสีแดง เช่น มะเขือเทศหรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ พริกหวานสีแดง แตงโม ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ ร่างกายจะดูดซึมสารไลโคพีนได้มากขึ้นหากผักดังกล่าวถูกปรุงด้วยความร้อน
เราจะเห็นมหัศจรรย์ในการชะลอวัยจากการบริโภคผักผลไม้ทุกวัน และจะเห็นผลเร็วขึ้นเมื่อเลือกบริโภคธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้องลูกเดือย ขนมปังโฮลวีต วันละ 6 อุ้งมือเป็นอย่างน้อยแทนข้าวหรือขนมปังขัดขาว บริโภคอาหารโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมันถั่วเมล็ดแห้ง หรือเต้าหู้ รวมวันละ 150-200 กรัมและอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ดื่มน้ำให้มากพออย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดละความเครียด เท่านี้ก็จะช่วยให้ร่างกายอ่อนกว่าวัย สุขภาพดีอยู่เสมอ แล้วอายุจะเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี