ภาดาท์ วรกานนท์ หรือ วัน ชื่อนี้คงคุ้นหูคนไทยมาพอสมควร เพราะเธอเป็น สส.หญิงหน้าใหม่ ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้รับคะแนนเสียง ให้มาทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนกรุงเทพมหานคร ในเขตราชเทวีเขตพญาไทและเขตจตุจักร พร้อมคำมั่นที่จะดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด
ด้วยดีกรีปริญญาตรี อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อด้วยปริญญาโท เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากจุฬาฯ เช่นเดียวกัน และปริญญาโทในสาขาเดียวกันจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่าง มหาวิทยาลัยเยล (YALE UNIVERSITY) ประเทศสหรัฐอเมริกามีประสบการณ์การทำงานกับองค์กร ภาครัฐและเอกชนมายาวนานกว่า 15 ปี อาทิ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บริหารธุรกิจโทรคมนาคม และก่อนจะลงรับสมัครเลือกตั้ง ก็เป็นผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมการันตีว่าเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม
“ตอนอายุประมาณ 10 ขวบ เคยบอกกับคุณพ่อว่า อยากเป็น สส. แต่ตอนนั้นในความเข้าใจของเด็กคิดว่า สส. คือคนที่ช่วยเหลือคนในท้องถิ่นของตนเองได้ สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างให้เจริญขึ้นได้ก็คิดแค่ว่าเราได้ทำงานที่ช่วยเหลือคนอื่นก็ดีนะ พอโตรู้เรื่องมากขึ้นสักอายุ 18-19 ปี เรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็บอกเพื่อนว่า เราจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. เพราะตอนนั้น คุณพิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่าฯ เราก็รู้สึกว่าท่านเป็นคนเก่ง ที่กล้ามารับหน้าที่นี้ เพราะกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงที่ค่อนข้างมีปัญหาหลากหลาย โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพฯ ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นผู้ว่าก็ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วันเบนเข็มจากด้านอักษรศาสตร์ ไปเรียนเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมแต่พอเรียนจบกลับมาตอนนั้นตำแหน่งงานด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมันมีน้อย จึงไปทำงานด้านอื่นๆ ก่อน ซึ่งทุกๆ งานที่ได้ทำก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์ที่ดีให้กับตัวเอง ทุกงานที่ได้ทำก็จะพยายามสอดแทรกเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วยไม่ได้ทิ้ง”
ส่วนงานการเมือง ภาดาท์ บอกว่า เหมือนพรหมลิขิต เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม เธอก็ได้รับการทาบทามจากนักการเมืองรุ่นพี่อย่าง พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ มาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเธอก็ไม่ลังเลสลัดภาพนักบริหารธุรกิจเข้าสู่สนามการเมืองทันที
“ช่วงแรกที่เป็นสมาชิกพรรคมาทำงานเป็นทีมเบื้องหลัง ช่วยงานประชาสัมพันธ์ สื่อออนไลน์ได้ระยะหนึ่ง พี่ๆ ก็บอกว่าให้ลงสมัครรับเลือกตั้งกรุงเทพฯ เขต 6 ราชเทวี พญาไท และจตุจักร ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงเดิมของพี่บี-พุทธิพงษ์ และอีกครึ่งเป็นของพี่จ้ำ-สกลธี ภัททิยกุล อีกทั้งพื้นที่นี้เป็นเขตยุทธศาสตร์ที่ไม่ว่าพรรคไหนก็อยากที่จะปักธงตรงนี้ แต่ก็มีแอบคิดว่าเราจะทำได้ไหม ตัววันอาจจะไม่ได้มีต้นทุนทางการเมืองแต่พี่ๆ เขาวางใจเลือกเรา เพราะฉะนั้นเขาให้โอกาสวันแล้ว และความรู้ความสามารถเราก็มีแล้วทำไมจะไม่ทำ จึงได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง
ตลอดระยะเวลาการหาเสียงยอมรับว่าเหนื่อย ทั้งโดนสบประมาท ประชาชนก็ยังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เวลาลงพื้นที่วันก็ใช้กลยุทธ์เดินเข้าหาเข้าไปแนะนำตัว ไปคุยจนกว่าเขาจะยิ้มให้คุยกับวันถึงจะไปต่อ มีคนถามเหมือนกันว่าผู้สมัครหน้าใหม่ พรรคก็ใหม่ จะทำอะไรได้ วันก็จะตอบไปว่าวันอาจจะหน้าใหม่ แต่เรามีประสบการณ์ ถ้าพ่อแม่พี่น้องให้โอกาสวันจะทำให้เห็นว่าวันสามารถเป็นตัวแทนพ่อแม่พี่น้องได้อย่างไร คือวันใช้ความจริงใจ พยายามสื่อสารกับประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งวันเชื่อว่าเป็นเพราะจุดนี้ที่ทำให้วันได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้มาทำหน้าที่ สส.ค่ะ และก็รู้สึกดีใจที่ไม่ทำให้ความไว้วางใจของพี่ๆ เขาสูญเปล่า”
ในช่วงของการหาเสียง ภาดาท์ ได้ชูนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหามลภาวะ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งวันนี้ในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เธอก็ยังยืนยันที่จะทำงานตามที่ได้รับปากกับพี่น้องประชาชนไว้อย่างแน่นอน
“ตอนหาเสียงกำลังมีปัญหา PM2.5 ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนว่ามันหมดไปแล้ว แต่จริงๆ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กมันมีอยู่ตลอดเวลาจะมากจะน้อยจนเป็นอันตรายก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา วันเองไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะวันอยากแก้ปัญหาเรื่องนี้ ล่าสุดวันก็อาสาเขาไปช่วยงานกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งท่านสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการ ท่านก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน ก็กำลังจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่จะแก้ไขเรื่อง PM2.5 โดยเฉพาะเรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องบูรณาการหลายฝ่ายในการทำงาน เพราะฝุ่นละอองขนาดเล็กมันเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การเผาพื้นที่การเกษตรซึ่งมีทั้งจากในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน สภาพอากาศ การเผ้าไหม้ของรถยนต์ อื่นๆ อีกมากมาย ที่เราต้องมีมาตรการระยะสั้นระยะยาวที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา”
ไม่เพียงแต่ปัญหาเรื่อง “ฝุ่นพิษ” ที่เธอมีไอเดียสำหรับการแก้ไขแล้ว แต่สำหรับ “ฝุ่นการเมือง” ที่เธอได้เผชิญมาก่อนหน้า และนับจากนี้ต่อไป เธอยังได้วางแผน “จัดการ” กับมันไว้เช่นกัน โดยภาดาท์ ย้อนไปถึง “ฝุ่นการเมือง” ที่เกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเกิดปัญหาการ “แย่งตำแหน่ง” ปรากฏออกมาว่า
“คำว่าแย่งตำแหน่งมันดูเป็นมุมลบเกินไป ต้องเปลี่ยนเป็นแย่งกันทำงานมากกว่า เพราะเมื่อทุกคนได้รับโอกาสเข้ามาแล้ว ทั้งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องอยากทำงาน แต่ตำแหน่งมีจำกัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถ และเหมาะสม ตอนนี้เสียงมันปริ่มน้ำจริงๆ แสดงว่าคุณมีความเสี่ยงมาก ดังนั้นถ้าคุณเข้ามาแล้ว ไม่เร่งสร้างผลงานให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด คุณก็ไปเร็วแน่นอน การแย่งกันทำงานที่เกิดขึ้น จึงเป็นเรื่องที่ดี แต่ตำแหน่งมันไม่ได้มีครบทุกคน ก็ต้องมีคนสมหวัง ผิดหวัง เป็นเรื่องปกติของการเมือง
สิ่งสำคัญตอนนี้อยู่ที่เมื่อจัดสรรตำแหน่งครบแล้ว ก็อยู่ที่ว่าผู้ที่ได้รับตำแหน่งไปนั้นจะออก “วิ่ง” ไปสู่ความสำเร็จได้มากน้อยเพียงใด ต้องรอดูกันไป ซึ่งวันคิดว่ายุคนี้เรามีสื่อออนไลน์ที่กระจายได้แพร่หลายเร็วมาก จึงเชื่อว่าทุกคนจะทำงานอย่างรอบคอบ เพราะถ้าพลาดนิดเดียวเครดิตทางการเมืองจะตกฮวบลงทันที พูดง่ายๆ คือถ้าพลาดนิดเดียว รับรองไปเร็วกว่าฝุ่นในอากาศแน่นอน”
สำหรับฝ่ายค้านภาดาท์ยอมรับว่าอย่าง “พรรคอนาคตใหม่” หลายๆ ท่านก็มีความรู้ความสามารถ การเมืองวันนี้จึง “ท้าทาย”และสนุกมาก ถ้าฝ่ายค้านยิ่งฉลาดและแข็งแรง คิดว่าการเมืองจะสนุกมาก เพราะเขาจะตรวจสอบเรา ทำให้เราต้องยิ่งรอบคอบ และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องที่ดี สุดท้ายประโยชน์ก็ตกอยู่ที่ประชาชน และประเทศชาติ
ในฐานะ สส.หญิง ในอนาคต “พลังหญิง” จะทำงานให้บ้านเมืองอย่างไรนั้น ภาดาท์ มองว่า “ณ วันนี้ ผู้หญิงกับผู้ชาย ไม่ได้ต่างกัน ไม่ว่าจะภาคราชการ หรือเอกชน วันนี้เราจะเห็นผู้หญิงมากมายที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรภาครัฐและเอกชน ล่าสุดก็มีโฆษกรัฐบาลเป็นผู้หญิง ดังนั้นผู้ชายกับผู้หญิงวันนี้ความสามารถไม่ต่างกันเลย เพียงแต่เขาจะได้รับ “โอกาส” ในการทำงานหรือไม่ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ มี สส.ผู้หญิง 22-23 คน จาก 116 คน ถือว่าเยอะพอสมควร เป็นนิมิตหมายที่ดี แล้วประชาชนนั้น วันคิดว่าเขาคงไม่มองแล้วว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ใครจะมีศักยภาพมากกว่ากันคิดว่าเขาคงมองว่า “เท่ากัน” ที่เหลือคงมองที่ “ไส้” ว่าแต่ละคนมีความรู้ความสามารถอย่างไร”
นอกจากบทบาทหน้าที่ของการเป็น สส. แล้ว ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนั่นคือการทำหน้าที่ “แม่” ของลูกชาย 2 คน ซึ่งเธอต้องจัดสรรทั้งสองบทบาทให้ลงตัวอย่างดีที่สุด
“ตอนนี้วันเป็นซิงเกิ้ลมัม ลูกชายคนโตอยู่กับคุณพ่อเขา ส่วนคนเล็กอยู่กับวัน แต่ก็จะมีเวลาที่ลูกทั้งสองคนจะมาอยู่ด้วยกัน ในการเลี้ยงลูกก็เลี้ยงเขาแบบธรรมดาๆ ไม่ได้เข้มงวดกับเรื่องการเรียนมากเพราะอยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตแบบที่เด็กควรจะเป็น แต่จะให้เขาได้เรียนรู้ลงมือทำในสิ่งที่เขาชอบ เพราะวันมองว่าการที่เด็กเติบโตอย่างมีความสุขมีอารมณ์ดี จะทำให้เขามองโลกในมุมที่ดีกว่า สิ่งที่เป็นห่วงคือเรื่องสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงเด็กๆ ง่ายมากกว่า เพราะเขายังไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะรู้ว่าอะไรดี ไม่ดี ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องคอยสอน อธิบายให้เขาเข้าใจ ให้รู้จักแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ อย่างตอนที่จะลงสมัครเขาก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ ก็ใช้การพูดคุยว่าการที่แม่มาทำตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ที่มีเกียรติ ได้ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศ จริงๆ คือเขากลัวว่าแม่ไม่มีเวลาให้เขา วันก็จะใช้วิธีว่าตอนเช้าจะไปส่งลูกที่โรงเรียนเอง ตอนเย็นก็ไปรับกลับบ้าน แล้วไปทำงานต่อ วันไหนงานเสร็จเร็วแม่ก็จะรีบกลับบ้าน วันอาทิตย์ให้เป็นวันของลูกที่เราจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน แต่ถ้าวันไหนติดงานจริงๆ ก็จะบอกเขาล่วงหน้าไว้ก่อน ตอนนี้มีพ่อแม่เพื่อนๆ มาถามว่าคุณแม่เป็น สส.เหรอ เก่งจังเลย ก็เริ่มรู้สึกว่าทุกคนรู้จักและชื่นชมแม่เขา ก็คงจะมีความภูมิใจและรู้สึกดีขึ้น”
สำหรับ “เป้าหมายสูงสุด” หรืออนาคตการเมืองข้างหน้านั้น ภาดาท์ บอกว่า เป้าหมายสูงสุด ณ วันนี้ ก็ยังฝันอยากเป็น “ผู้ว่าฯกทม.”เพราะมีความฝันที่อยากจะทำอะไรมากมาย แต่ไม่ได้เป็นก็ไม่เป็นไร เพราะวันนี้และวันข้างหน้าขอเป็นเพียง “จุดเล็กๆ” ที่ได้เริ่มทำอะไร แล้วมีคนเห็น มีคนทำตาม จุดเล็กๆ มันก็จะขยายเป็นวงกว้าง เหมือน “ดอกไม้” ถ้ามันมีแค่ดอกเดียวก็คงไม่สวยงามเท่าไร แต่เมื่อมันมีหลายๆ ดอกเพิ่มขึ้น ก็กลายเป็น “สวน” ที่สวยงามขึ้น
“สังคมจะดีได้ วันคงทำคนเดียวไม่ได้ แต่คนรอบข้าง คนในสังคมต้องช่วยกัน เมื่อเรารวมกันทำสิ่งดีๆ แล้ว สังคมจะสวยงามและดีขึ้น” ภาดาท์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี