แม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก แต่ก็ยังไม่สามารถหาสารประกอบใดที่มาใช้ทดแทนโลหิตได้ดี ฉะนั้นเมื่อยามที่ร่างกายเสียโลหิตจากอุบัติเหตุ ผ่าตัด หรือโรคที่จำเป็นต้องรักษาด้วยโลหิต จึงจำเป็นต้องรับบริจาคโลหิตจากบุคคลหนึ่งเพื่อนำไปให้อีกบุคคลหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือชีวิตให้ทันท่วงที
โลหิต เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตในร่างกาย โดยกำลังสูบฉีดของหัวใจ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต คือ ไขกระดูก โลหิตแบ่งได้ 2 ส่วน คือ เม็ดโลหิต ซึ่งมี 3 ชนิด คือเม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว เกล็ดโลหิตส่วนที่ 2 คือ พลาสมา (Plasma) คือส่วนที่เป็นของเหลวของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตทั้งหลายลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง
การบริจาคโลหิต คือ การสละโลหิตส่วนเกินที่ร่างกายยังไม่จำเป็นต้องใช้ เพื่อให้กับผู้ป่วย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริจาค เพราะร่างกายแต่ละคนจะมีปริมาณโลหิตประมาณ 17-18 แก้วน้ำ แต่ร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้นสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้ โลหิตสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน เพราะเมื่อบริจาคโลหิตออกไปแล้ว ไขกระดูกจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดโลหิตขึ้นมาทดแทนให้มีปริมาณโลหิตในร่างกายเท่าเดิม ถ้าไม่ได้บริจาค ร่างกายจะขับเม็ดโลหิตที่สลายตัว เพราะหมดอายุออกมาทางปัสสาวะ อุจจาระ กระบวนการบริจาคโลหิตตั้งแต่เริ่มลงทะเบียน จนกระทั่งบริจาคโลหิตเสร็จสิ้น ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเลือกเจาะโลหิตที่เส้นโลหิตดำ บริเวณแขน แล้วเก็บโลหิตบรรจุในถุงพลาสติก (BLOOD BAG) ตั้งแต่ 350-450 มิลลิลิตร (ซีซี) ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของผู้บริจาค
ความจำเป็นต้องใช้โลหิต 77% ที่ได้รับบริจาคถูกนำไปใช้เพื่อทดแทนโลหิตที่สูญเสียไปในภาวะต่างๆ อาทิ อุบัติเหตุ การผ่าตัด โรคกระเพาะอาหาร การคลอดบุตร ฯลฯ อีก 23% เป็นการนำโลหิตไปใช้เฉพาะโรคเลือด อาทิ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย เกล็ดโลหิตต่ำ ฮีโมฟีเลีย เป็นต้น การได้มีโอกาสบริจาคโลหิต จึงนับเป็นการช่วยต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยได้มีชีวิตใหม่และกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิตมีดังนี้
l อายุ 17 ปี บริบูรณ์-70 ปี สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ โดยผู้บริจาคโลหิต อายุ 17 ปีบริบูรณ์ ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง สำหรับผู้บริจาคโลหิตประจำสามารถบริจาคได้จนถึงอายุ 70 ปี ส่วนผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี บริจาคได้ทุก 3 เดือน (บริจาคได้ทั้งที่ศูนย์บริการโลหิตฯและหน่วยเคลื่อนที่) สำหรับผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 65-70 ปี บริจาคได้ทุก 6 เดือน (บริจาคได้เฉพาะที่ศูนย์บริการโลหิตฯ เพราะต้องมีการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดก่อนการบริจาค)
l น้ำหนัก 45 กิโลกรัม ขึ้นไป
l ไม่เจ็บป่วย หรืออยู่ในระหว่างรับประทานยารักษาโรค เช่น ยาแก้อักเสบ ต้องหยุดยาแล้วอย่างน้อย 7 วัน
l ไม่มีประวัติการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือไวรัสตับอักเสบ ซี
l ไม่มีประวัติการเป็นโรคหัวใจโรคตับ โรคปอด โรคเลือด โรคมะเร็ง หรือมีภาวะโลหิตออกง่ายและหยุดยาก
l ผู้ที่เป็นโรคมาลาเรีย ให้งดบริจาคโลหิตเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี
l ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบสาเหตุในระยะเวลา 3 เดือน ที่ผ่านมา
l ไม่ทำการสัก หรือเจาะผิวหนัง เช่น เจาะสะดือ เจาะจมูก ฯลฯ ภายในระยะเวลา 12 เดือน
l ไม่มีประวัติติดยาเสพติด หรือเพิ่งพ้นโทษในระยะ 3 ปี
l ผู้บริจาคโลหิตที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่งดบริจาคโลหิต 6 เดือน ผู้บริจาคโลหิตที่ได้รับการผ่าตัดเล็ก งดการบริจาคโลหิต 7 วัน หากได้รับโลหิตจากการรักษาให้งดการบริจาคโลหิต 1 ปี
l ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ อาทิ มีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่ของตนมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เป็นต้น
l สตรีหลังคลอด ให้นมบุตร แท้งบุตรต้องเว้นการบริจาคโลหิต อย่างน้อย6 เดือน (ไม่รับบริจาคโลหิตจากผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์)
l สตรีอยู่ระหว่างมีประจำเดือน สามารถบริจาคโลหิตได้ มีประจำเดือนไม่มากกว่าปกติ ร่างกายทั่วไปสบายดี ไม่มีอาการอ่อนเพลียใดๆ (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้คัดกรอง)
ข้อมูลจาก ศ.กิตติคุณ นพ.ชัยเวช นุชประยูร ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า โลหิตที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยชีวิตของผู้ป่วยได้ ทั้งในรูปโลหิต ส่วนประกอบของโลหิต และผลิตภัณฑ์โลหิต โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประมาณการใช้โลหิตแต่ละประเทศไว้ว่า ควรมีโลหิตและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการใช้แต่ละประเทศคือ 3% ของจำนวนประชากร สำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ.2562ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติมีเป้าหมายการจัดหาโลหิต 2,500,000 ยูนิตต่อปี โดยในเขตกรุงเทพมหานครต้องจัดหาโลหิตให้ได้อย่างน้อย 700,000 ยูนิตต่อปี และอีก 1,800,000 ยูนิต ต่อปี เป็นการจัดหาในส่วนภูมิภาค ปัจจุบันปริมาณการเบิกใช้โลหิตเพิ่มขึ้น 8-10% ทุกปี
ด้วยเหตุนี้ศูนย์ฯจำเป็นต้องรณรงค์จัดหาโลหิตคุณภาพให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในแต่ละปี ซึ่งหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นผู้บริจาคโลหิตที่มีคุณภาพได้แก่ กลุ่มนักศึกษาและเยาวชนเพราะเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีโลหิตที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังสามารถบริจาคได้อย่างต่อเนื่องยาวนานหากดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ที่สำคัญพบว่ามีนักศึกษาและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่เคยบริจาคโลหิต ศูนย์ฯจึงต้องมุ่งรณรงค์ให้เยาวชนกลุ่มนี้เข้ามาเป็นผู้บริจาคโลหิตรายใหม่เพิ่มมากขึ้นผ่านการสร้างพันธมิตรและการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ต่างๆ โดยศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ร่วมกับ บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อโครงการแบรนด์ “#พลังเลือดใหม่ ต่อพลังชีวิต” (BRAND’S Young Blood 2019) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 เพื่อรณรงค์ให้กลุ่มนิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่ได้เริ่มต้นเป็นผู้บริจาคโลหิตครั้งแรก และกระตุ้นให้เกิดการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุก 3 เดือน และส่งเสริมให้เยาวชนตระหนักถึงความภูมิใจของการเป็น “ผู้ให้” ตลอดจนเพื่อจัดหาโลหิตคุณภาพให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นและเพียงพอต่อความต้องการใช้โลหิต สำหรับนิสิต นักศึกษา สถาบันการศึกษาที่สนใจ เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต รายละเอียด ได้ที่เว็บไซต์ www.blooddonationthai.com หรือสอบถามได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต โทร.02-2554567, 02-2639600ต่อ 1752, 1753
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี