ศิลปะคือสาระสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่คิดเป็นและคิดชอบ แต่ศิลปะจะถูกมองว่าไร้สาระในชีวิตของคนบางจำพวก โดยเฉพาะคนที่เห็นว่าเงินสำคัญที่สุดในชีวิต แน่นอนว่าเงินตรามีความสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่หากคิดถึงแค่เพียงเงินตราแล้ว งานศิลป์ก็คงจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปโดยปริยาย เพราะงานศิลป์บางอย่างไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำภายในระยะเวลาเพียงลัดนิ้วมือแต่เมื่องานศิลป์ฝังรากลึกลงในใจของผู้คนในสังคมแล้วเงินตราและความมั่งคั่งก็จะตามมาในที่สุด
แนวหน้าวาไรตี้ สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยพาคุณไปสนทนากับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ปวิตร มหาสารินันทน์อดีตผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร(สัมภาษณ์ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2562) ถึงเรื่องราวของหอศิลป์กรุงเทพฯ กับหนทางหอศิลป์แห่งนี้ว่าจะก้าวเดินไปในทิศทางไหน หอศิลป์กรุงเทพฯ จะให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากกว่ากัน ระหว่างงานศิลปะกับการเปิดโอกาสให้คนทำงานศิลป์ตัวเล็กตัวน้อยมีโอกาสใช้พื้นที่หอศิลป์เพื่อนำเสนอผลงานสู่สายตาสาธารณชน หรือว่าหอศิลป์กรุงเทพฯ จะเลือกหนทางของการแสวงหาเงินทองเป็นสำคัญ
อาจารย์ปวิตรลาออกจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แล้วมารับหน้าที่ผู้อำนวยการหอศิลป์ได้กี่เดือนแล้วครับ สัญญาการทำงานในหน้าที่นี้กี่ปีครับ
ผมมาอยู่หอศิลป์แห่งนี้ได้ 1 ปีกับ 7 เดือนครับสัญญาการทำงานของผมในตำแหน่งผู้อำนวยการหอศิลป์4 ปีครับ
อ้าว! แล้วเกิดอะไรขึ้นมาครับ ทำไมกลายเป็นว่าตอนนี้อาจารย์ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการหอศิลป์เสียแล้ว ทั้งๆ ที่ทำงานได้เพียง 19 เดือนเท่านั้น
ตอนแรกผมก็งงครับ รู้แค่เพียงว่าทางผู้ว่าจ้างผมประเมินผลการทำงานของผมแล้วแจ้งว่าไม่ผ่าน แต่ไม่มีรายละเอียดว่าไม่ผ่านเพราะอะไร ถามไปเพื่อขอทราบรายละเอียดการประเมิน ก็ยังไม่ได้เห็นผลการประเมินถามไปหลายครั้งก็ยังเงียบครับ แต่ทางผู้จ้างให้ผมทำสัญญาครั้งแรกคือ 6 เดือน แล้วสัญญาที่สองอีก 12 เดือนผมก็งงๆ ว่าทำไมต้องทำสัญญาสองขยัก ทั้งๆ ที่สัญญาการจ้างงานคือ 4 ปี แต่ผมยอมรับได้ว่าต้องมีระยะเวลาทดลองงาน แต่เมื่อผ่านการทดลองงาน 120 วันไปแล้วเมื่อจ้างต่อก็ต้องถือว่าผมควรจะได้รับตำแหน่งต่อไปหากไม่ผ่านการทดลองงาน ผมก็ควรจะออกไปตั้งแต่เมื่อครบเวลาทดลองงาน 120 วัน แต่ก็ทำงานที่นี่มานานถึง 19 เดือน แต่ผมก็ยังงงอยู่ครับว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมเองก็สับสนครับ ได้ยินเรื่องนี้แล้วงงครับ ขอถามอาจารย์ปวิตรตรงๆ ว่าผู้จ้างคือกรุงเทพมหานครใช่ไหมครับ แล้วเขาไม่ให้เราดูผลการประเมินหรือครับถ้าไม่ให้เราดูผล แต่อยู่ๆ ก็มาบอกว่าไม่จ้างเราทำงานต่อ แบบนี้มันน่าจะมีความไม่ปกติอะไรบางอย่างนะครับ
ครับ ยอมรับว่าผมเองก็งง และไม่รู้สาเหตุการเลิกจ้างครับ เขาบอกผมว่าให้ผมทำงานวันสุดท้ายคือวันที่ 24 กันยายน 2562 เท่านั้น พูดง่ายๆ คือไล่ผมออกผมก็งงจริง ๆ ครับ (หัวเราะ) ผมตั้งใจทำงานที่นี่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะมีความสามารถจะพึงมี แต่แล้วจู่ๆ เขาก็บอกว่าเลิกจ้าง ก็กลายเป็นคนตกงานไป
หอศิลป์แห่งนี้เป็นของกรุงเทพฯ ใช่ไหมครับผมทราบมาว่ากรุงเทพมหานคร หรือกทม. ไม่ได้ให้เงินสนับสนุนหอศิลป์มานานหลายเดือนแล้ว จริงไหมครับจริงๆ แล้วกทม. ต้องให้เงินสนับสนุนหอศิลป์ในด้านใดบ้างครับ มีข้อตกลงหรือมีสัญญาผูกพันอะไรบ้างระหว่างหอศิลป์กับกทม.
หอศิลป์แห่งนี้อยู่ในความดูแลของกทม. ส่วนคำถามเรื่องเงินสนับสนุนจาก กทม. ที่ให้กับหอศิลป์นั้นก็เป็นความจริงครับ กทม. ไม่ได้ให้เงินสนับสนุนมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว กทม. มีภาระผูกพันกับหอศิลป์ในเรื่องค่าใช้จ่ายพื้นฐานของหอศิลป์ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างพนักงานบุคลากร และการดูแลบำรุงรักษาสถานที่รวมถึงอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในหอศิลป์ เช่น ลิฟต์ แอร์ ระบบไฟฟ้า เป็นต้น แต่แล้วกทม. ก็ตัดเส้นเลือดใหญ่ของหอศิลป์ ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่จ่ายให้ แล้วยังบอกว่าจะขอหอศิลป์กลับคือไปบริหารเอง ย้อนกลับไปตั้งแต่แรกเริ่มคือการตั้งหอศิลป์ขึ้น ได้มีข้อตกลงร่วมกันว่า จะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับเอกชน รัฐบาลก็คือกรุงเทพมหานคร ส่วนเอกชนก็คือมูลนิธิหอศิลป์ฯ แล้วที่ผ่านมา 7-8 ปี มันก็ดำเนินไปเช่นนั้น รัฐบาลให้เงินทุนมาก้อนหนึ่ง แล้วเอกชนก็เข้าไปร่วมทำงานด้วย โดยให้บริการพื้นที่ หาสปอนเซอร์สนับสนุน หาเงินรายได้เพิ่มเติมจึงเกิดเป็นการทำงานร่วมกันที่ดีและมีผลตอบแทนที่ดีมา แต่เรื่องราวมาเกิดขึ้นเมื่อตุลาคม 2560 ส่วนของรัฐบาลก็หายไป เหลือแต่เอกชนอย่างเดียว ทีนี้ผู้คนบางกลุ่มก็ถามว่าทำไมที่ตั้งของหอศิลป์ซึ่งมีทำเลดีขนาดนี้ ทำไมเอกชนบริหารแล้วเลี้ยงตัวเองไม่ได้ คำตอบคือติดที่สัญญาที่ทำกันไว้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เอกชนสามารถใช้พื้นที่แค่ประมาณไม่ถึง 20% ของพื้นที่ทั้งหมดเพื่อการหาผลประโยชน์ในเรื่องรายรับ ซึ่งถ้าเทียบกับเอกชนร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นเทียบกับห้างมาบุญครอง หรือสยามพารากอน จะเห็นว่าเขาสามารถใช้พื้นที่เต็ม 100%
กทม. รับรู้ปัญหาและสัญญานี้ดีใช่ไหมครับ แล้วทำไมเขาจึงเปลี่ยนท่าทีในการสนับสนุนหอศิลป์ กทม. เคยบอกไหมครับว่าต้องหารายได้ได้ปีละกี่สิบหรือกี่ร้อยล้านบาท แล้วเมื่อมีข้อจำกัดด้านการใช้พื้นที่ กทม. มีทางออกอะไรให้บ้างไหมครับ
มีคณะกรรมการหอศิลป์ชุดใหม่บางรายเพิ่งรับตำแหน่งได้ประมาณ 4 เดือน เสนอว่าน่าจะมีร้านค้าแบรนด์เนมดังๆ ซึ่งเป็นที่นิยม เช่น ต้องมีร้านกาแฟแบรนด์เนมจากอเมริกา ผมแจ้งไปว่าในหอศิลป์นี้มีร้านกาแฟแล้ว 3 ร้านแล้ว ถ้าสนับสนุนให้คนกินกาแฟมากๆ ก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับนะครับ และร้านที่มีอยู่แล้วนั้น ผู้คนที่เข้ามาในหอศิลป์ก็ชื่นชอบดี เพราะมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีร้านไอศกรีมที่ทำไอศกรีมรูปร่างประหลาดๆ มีร้านช็อกโกแลตที่ทำรสชาติแบบไทยๆ นี่คืองานศิลปะแบบหนึ่ง ผมไม่ได้มองว่าพื้นที่ตรงนี้มันจะต้องไปเลี้ยงหอศิลป์ได้ทั้งหมด ผมมองว่ามันเป็นองค์รวมของหอศิลป์มากกว่า มีบางรายเสนอให้หารายได้ด้วยการติดตั้งป้ายโฆษณาที่ด้านหน้าหอศิลป์ เพราะห้างสรรพสินค้าก็มีรายได้จากป้ายโฆษณาสินค้า ซึ่งผมก็มองว่าจริงครับ ทำให้หอศิลป์มีรายได้เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ทว่าความเป็นหอศิลป์ก็ต้องลดลงด้วย แล้วรายได้ที่คิดว่าจะได้เพิ่มเข้ามา มันก็ไม่สามารถจะทดแทนเงินสนับสนุนจากกทม. ที่ต้องให้กับหอศิลป์ไม่ได้อยู่ดี เพราะกทม. ตัดเงินไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในหอศิลป์
ผมถามว่า หากติดป้ายโฆษณาชุดชั้นในของสุภาพสตรี และกางเกงในของสุภาพบุรุษหน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ หมายความว่าหอศิลป์ต้องขายชุดชั้นในสตรีและบุรุษด้วยหรือไม่ครับ
นี่แหละครับ ก็ต้องฝากกรรมการมูลนิธิให้พิจารณาดู และขอให้ดูว่าต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงคืออะไร เพราะต้นเหตุของปัญหาที่สาธารณชนทราบดีคืออยู่ที่สัญญาที่มูลนิธิฯ ทำไว้กับกทม. ข้อที่ 8 ที่ระบุว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดำเนินงาน ค่าภาษี และค่าอะไรอีกต่างๆ นานา กทม.ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกให้ ซึ่งที่ผ่านมา กทม.ไม่ได้ออกให้ แต่กทม. ให้เงินอุดหนุนมา ถ้ามีปัญหาเรื่องการตีความกฎหมาย ก็ต้องตีความให้กระจ่าง แล้วเมื่อได้ข้อสรุปเช่นไร ก็ต้องทำไปตามนั้น เพื่อให้มูลนิธิฯ สามารถได้รับเงินอุดหนุนจากกทม.ได้ต่อไป ปัญหานี้เรื้อรังมานานกว่า 2 ปีแล้วครับ
หมายความว่า กทม. ไม่ให้เงินสนับสนุน แต่จะให้หอศิลป์หาเงินเอาเอง ถูกต้องไหมครับ
ครับ นั่นคือต้นเหตุของปัญหา ปัญหาอยู่ตรงนั้น เราจึงต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด ไม่ต้องไปแก้เรื่องที่ว่าเอาร้านกาแฟร้านนั้นร้านนี้เข้ามาตั้ง หรือให้ติดป้ายโฆษณา
แล้วถ้าเอาร้านกาแฟชื่อดังเข้ามาเปิดบริการจริงๆผมถามว่า หอศิลป์จะมีรายได้เพิ่มปีละ 40 ล้านบาทจริงหรือครับ
มันก็ไม่ถึงครับ คือถ้าเอาร้านกาแฟต่างประเทศเข้ามาจริง ก็อาจจะได้เงินเพิ่มขึ้นอย่างมากก็อีกสักเดือนละ5 หมื่นบาทครับ
ได้เพิ่มเดือนละ 50,000 บาท 12 เดือน ก็ยังไม่ถึง 40 ล้านบาทอยู่ดี ตกลงว่าหอศิลป์ฯ มีวัตถุประสงค์อะไรครับ ผมเริ่มงง จะเป็นหอศิลป์ หรือจะเป็นศูนย์การค้า เป็นที่ขายของ หรือเป็นช็อปปิ้งเซ็นเตอร์
(หัวเราะ) คือในปีล่าสุดนี้ เราได้ปรับแนวทางการดำเนินงานของหอศิลป์ เราบอกกับประชาชนว่า พื้นที่ตรงนี้คือพื้นที่เรียนรู้ผ่านงานศิลปะทุกแขนงที่มีความหลากหลาย เพราะศิลปะหลากหลายแขนง หอศิลป์ฯแห่งนี้คือหอศิลปวัฒนธรรม ไม่ใช่ art gallery ไม่ใช่ที่วางขายเฉพาะรูปวาดเท่านั้น หอศิลปวัฒนธรรมมันเกี่ยวข้องกับการเมือง สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ รวมถึงชีวิตสัตว์ ต้นไม้ และสิ่งแวดล้อมด้วย
แสดงว่ากทม. มองว่าหอศิลป์ไม่สร้างเงิน ไม่สร้างรายได้ให้กทม. หรืออย่างไรครับ แล้วกทม. บอกไหมว่าจะหาทางสร้างรายได้เข้าหอศิลป์อย่างไร หรือให้แนวทางหาเงินเข้าหอศิลป์กับอาจารย์ปวิตรบ้างไหม
กทม. คงเห็นว่าหอศิลป์ไม่ได้ทำรายได้ให้ก็เป็นได้แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าเขาจะหาเงินได้โดยวิธีใด แต่มีการแนะนำว่าให้หอศิลป์เปิดร้านกาแฟ โดยให้เอาร้านกาแฟยี่ห้อเมืองนอกที่คนไทยรู้จักดีเข้ามาเปิดให้บริการ เพราะเชื่อว่าจะได้รายได้มากขึ้น แต่ผมก็บอกว่าเราก็มีร้านกาแฟของคนไทยให้บริการอยู่ในหอศิลป์แล้ว รสชาติก็ไม่เลวร้ายแถมก็ยังมีลูกค้าพอสมควร แล้วเจ้าของก็เป็นคนไทยด้วย ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมีร้านกาแฟชื่อดังจากของเมืองนอกมาตั้งในหอศิลป์
หรือว่ากทม. อาจจะมองว่าคนเข้าใช้บริการหอศิลป์ในแต่ละวันน้อยหรือเปล่าครับ ทุกวันนี้คนเข้าใช้บริการวันหนึ่งกี่มากน้อยครับ
คนเข้าใช้บริการหอศิลป์แต่ละวันตกประมาณ5,500-6,000 คนครับ น้อยไปไหมครับ และเท่าที่ผมได้รับข้อมูลจากผู้เข้ามาแสดงงานศิลป์แขนงต่างๆ รวมถึงข้อมูลจากคนเข้าใช้บริการ ส่วนใหญ่บอกตรงกันว่าหอศิลป์แห่งนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น และเป็นพื้นที่ของสาธารณชนมากกว่าเดิม เพราะที่แห่งนี้เป็นที่รวมของศิลปะแขนงต่างๆ หลากหลายสาขา หลายคนเข้ามาชมงานศิลปะ บางคนเข้ามาฟังการอภิปราย บางคนเข้ามาใช้บริการห้องสมุด บางคนเข้ามาหาซื้องานศิลปะ บางคนไปที่ห้องนิทรรศการชั้น 7 เพราะมีการจัดศิลปะบำบัด เช่น บำบัดด้วยละคร ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย ด้วยการวาดเขียนภาพ ด้วยดนตรี ส่วนที่ชั้น 8 ชั้น 9ก็มีการแสดงอื่นๆ ตามโอกาสต่างๆ ซึ่งมีผู้คนเข้าไปชมมากมาย คนที่มานำเสนองานก็พออกพอใจ หอศิลป์มีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามกาลเทศะ และตามความเหมาะสมกับเหตุการณ์ โดยเฉพาะที่ชั้น 7 ชั้น 8 และชั้น 9 หอศิลป์จึงเป็นที่รวมของศิลปะแขนงต่างๆ เพราะศิลปะแต่ละแขนงสามารถมีบทสนทนาระหว่างกันได้เป็นอย่างดีศิลปะสามารถส่องทางให้กันและกันได้ตลอดเวลา ศิลปะไม่ใช่แค่เพียงรูปภาพ รูปวาด แต่มันรวมถึงการแสดง การปั้น การแกะสลัก การพูดคุยถกแถลงร่วมอภิปราย และอีกสารพัดรูปแบบ หอศิลป์กรุงเทพฯต้องการให้สมาชิกสังคมทุกคนรู้ว่าทุกคนสามารถเข้าไปร่วมสร้างงานศิลป์หรือสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงต่างๆได้ตลอดเวลา หอศิลป์เปิดโอกาสให้ผู้รังสรรค์งานศิลป์ทุกคนเข้าไปใช้พื้นที่ เช่น เราให้โอกาสผู้สร้างละครเวที หรือนักเต้น รวมถึงงานนาฏศิลป์ ดนตรี เราให้โอกาสคนทุกคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนปกติมีร่างกายครบ 32 หรือคนพิการ คนหูหนวก ตาบอด คนป่วยก็สามารถไปใช้พื้นที่แห่งนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน หอศิลป์กรุงเทพฯ จึงเป็นหอศิลป์แบบ inclusively art and cultural center ขอบอกว่าคำนี้ไม่ใช้คำพูดเก๋ๆ เท่านั้น แต่เป็นความจริงที่ทุกคนรับรู้ได้ สัมผัสได้ อย่าลืมนะครับว่าหอแห่งนี้ชื่อหอศิลปวัฒนธรรมแห่กรุงเทพมหานคร ศิลปะอยู่แทรกอยู่ในทุกอณูของชีวิตมนุษย์ ทั้งศิลปะและวัฒนธรรมคือสาระสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตมนุษย์คนขายของในหอศิลป์ และคนเข้ามาใช้บริการในหอศิลป์ก็มีส่วนร่วมสร้างงานศิลปะให้กับหอศิลป์แห่งนี้
ปัญหาของเรื่องนี้คือเมื่อหอศิลป์เลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็หมายความว่าอาจารย์ปวิตรก็ไม่ผ่านการประเมินหรือครับ ถ้าเช่นนั้น หากจะให้หอศิลป์เลี้ยงตัวให้ได้นอกจากทำหอศิลป์ให้กลายเป็นห้างสรรพสินค้า แล้วก็เก็บค่าเข้าชมและค่าใช้บริการจากประชาชนคนละ 100-200 บาทต่อคน ทำได้ไหมครับ
ไม่ได้เด็ดขาดครับ ในสัญญาโอนสิทธิ์ที่เราลงนามไว้กับ กทม. เขาห้ามไว้ ห้ามเก็บค่าเข้าชม แม้กระทั่งถ้าหอศิลป์จัดฉายภาพยนตร์ จัดละครเวที จัดคอนเสิร์ต จัดนิทานคุณหนู หรือจัดอะไรก็ตามครับ เมื่อหอศิลป์เป็นผู้จัดเอง จะเก็บค่าเข้าชมไม่ได้เป็นอันขาด ผมขอย้ำว่าหอศิลป์ตั้งอยู่ในพื้นที่ทำเลทอง ซึ่งเป็นพื้นที่ของ กทม. ก็หมายความว่าเป็นพื้นที่สำหรับสาธารณะ ซึ่งก็คือของประชาชน ประชาชนต้องมีสิทธิ์เข้าไปใช้บริการได้ ผมไม่คัดค้านความเห็นของคณะกรรมการมูลนิธิชุดที่เพิ่งเข้ามารับหน้าที่เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ หลายรายบอกว่าหอศิลป์ต้องเลี้ยงตัวเองได้ หอศิลป์ต้องหยุดเรียกร้องเงินจาก กทม. ผมไม่อยากมองว่านี้เป็นการตั้งแง่ทางการเมืองกับหอศิลป์ แต่ผมอยากได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมว่าจะหาเงินจากอะไรดี แล้วไม่ทำให้หอศิลป์หมดความเป็นหอศิลป์ลงไปอย่างสิ้นเชิง จริงๆ แล้วเมื่อผมเข้ามารับหน้าที่ผู้อำนวยการ ผมก็พยายามหารายได้จากทุกช่องทางที่เหมาะสม แล้วก็มีรายได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับทุกเดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ผมพยายามพูดคุยกับบริษัทเอกชน และหน่วยงานของรัฐให้เข้าไปใช้พื้นที่ของเราในการจัดงาน และขอความสนับสนุนจากภาคเอกชน ซึ่งก็ได้มาบ้าง แต่ก็มีข้อจำกัดมากมายหลายประการจนทำให้เอกชนยังไม่ตัดสินใจสนับสนุนเราเต็มที่มากนัก ขอบอกว่าค่าเช่าสถานที่ของเราถูกมากเมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าในบริเวณสี่แยกปทุมวันเมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งได้เงินอุดหนุนจากกองทุนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจกรรมพลังงานแห่งชาติ เราจะมีโครงการทำงานศิลปะเกี่ยวกับเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ ไปจนถึงกลางปีหน้า นี่คือการหาเงินเลี้ยงตัวเองเพื่อให้หอศิลป์อยู่รอด แต่ต้องไม่ลืมว่าต้นเหตุของปัญหาใหญ่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไป หอศิลป์พยายามจะเดินต่อไปให้ได้ แต่สุดท้ายผมถูกไล่ออก
ไล่ออกด้วยเหตุผลอะไรครับ
ผมไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยครับ เขาแจ้งด้วยวาจา เวลาผ่านไปเกือบเดือน ผมก็ยังไม่มีข้อมูลเรื่องการประเมินผลการทำงาน ขออ่านผลประเมิน เขาก็ไม่ยอมให้ แต่มีคนในคณะกรรมการบางคนบอกว่าไล่ผมออกเพราะผมไปด่ากทม. ซึ่งผมไม่เคยด่า ด่าทำไมครับ ด่าเพื่ออะไร ผมแค่ถามเรื่องเงินงบประมาณที่ กทม. ต้องให้กับหอศิลป์ ผมพูดความจริงว่างบฯ สำหรับปีหน้านั้น หอศิลป์ยังไม่ไม่ได้รับ หากผมถามเรื่องนี้แล้วคิดว่าผมด่า ผมขออภัยครับ แต่ผมไม่ได้ด่าใคร
ขอถามตรงๆ ครับ กรรมการมูลนิธิทั้งหมดมี 12 คน มีกรรมการรายใดบอกอะไรอาจารย์บ้างไหมครับ แล้วตั้งข้อสังเกตไหมว่ากรรมการมูลนิธิคนไหนที่ไม่สนับสนุนอาจารย์
(ทำหน้าครุ่นคิด) ไม่ทราบครับ แต่ถ้าจะพูดก็คิดว่าน่าจะมีกรรมการบางรายที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านทัศนศิลป์ แต่เอาเป็นว่าผมยันยืนยันว่าหอศิลป์กรุงเทพฯ คือหอศิลปวัฒนธรรมเป็นหอของงานศิลปะทั้งหมดทุกแขนง ไม่ใช่แสดงงานทัศนศิลป์เท่านั้น หอนี้แสดงงานวรรณกรรม ภาพยนตร์ ละครเวที นาฏศิลป์ แล้วยังมีเรื่องการเมือง สังคม เรื่องสิ่งแวดล้อม และมีไอศกรีม และมีช็อกโกแลตขายด้วย มีกาแฟด้วยครับ สิ่งที่ผมจะถามก็แค่ว่ามันยุติธรรมกับผมหรือไม่ ผมยังยืนยันว่าหอศิลป์เป็นสมบัติของสาธารณะ สมาชิกของสังคมต้องมีส่วนใช้ประโยชน์จากหอศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดแสดง และผู้ชมหากหอศิลป์คิดถึงเรื่องเงินเป็นที่ตั้ง หอศิลป์จะยังเป็นหอศิลป์ของประชาชนอยู่ได้หรือไม่ บางคนอาจยังไม่รู้ว่ามูลนิธิฯมีสัญญากับ กทม. ถึงเดือนสิงหาคม 2564 เท่านั้นหลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นยังไม่ทราบ กทม. จะถอนสัญญากับมูลนิธิฯ หรือไม่ แล้ว กทม. จะให้เอกชนเข้าไปบริหารหอศิลป์หรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ย้ำว่าหอศิลป์ฯ กทม. ต้องเป็นของสาธารณะ ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หลังจากผมพ้นหน้าที่ผู้อำนวยการหอศิลป์ฯ กทม. ผมก็จะคอยดูว่าหอศิลป์แห่งนี้จะไปในทิศทางใด แต่ผมก็ต้องเรียกร้องหาความเป็นธรรมให้กับตัวของผมต่อไป
คุณสามารถพบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการแนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์TNN 2 ช่อง 784 ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ผู้หญิงแนวหน้าby คุณแหน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี