“กระบวนการยุติธรรมทางอาญาอาจสร้างความสับสน และหวาดกลัว ต่อคนหนุ่มสาวที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกทำร้ายทางเพศ ยิ่งต้องมาบอกเล่าเรื่องราวที่เจ็บปวดจากการโดนละเมิดอาจสร้างความหวาดผวาให้เกิดขึ้นอีกครั้งโชคดีที่ แฮตตี้ (Hatty) อยู่ในทีมของเรา เพราะเธอสามารถพาผู้เคราะห์ร้ายผ่านช่วงเวลาอันลำบากที่สุดได้ด้วยความอบอุ่นและเป็นมิตรของเธอ” ประโยคนี้เป็นคำชื่นชมของ “คิมเบอร์ลี ฟอกซ์” อัยการแห่งเมืองคุกซ์ ในสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อ “แฮตตี้” สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์สีดำ พนักงานคนใหม่ของสำนักงานอัยการแห่งเมืองคุกซ์
แฮตตี้ได้รับการฝึกจากผู้ต้องขังในเรือนจำแห่งหนึ่งของรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งคาดว่าหลังการเข้ามารับตำแหน่งที่สำนักงานอัยการแห่งนี้ เธอจะทำงานกว่า 150 คดีต่อปี ด้วยการใช้เวลาในการเข้าร่วมประชุมกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและผู้ช่วยทนายความของรัฐ (สำหรับการให้สัมภาษณ์ในข้อเท็จจริงทางคดีต่างๆ) และจะอยู่เป็นเพื่อนเหยื่อในการขึ้นศาลให้ปากคำตกเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับเหยื่อที่อยู่ในฐานะพยาน โดยเธอจะมีพนักงานสองคน (ที่ได้รับการอบรมพิเศษ) เป็นผู้ดูแล และมอบหมายความรับผิดชอบในงานให้
ในสหรัฐอเมริกามีสุนัขบำบัด (Therapy Dog) มากกว่า 50,000 ตัวและไม่ได้ทำงานจำกัดเฉพาะเหยื่อจากการถูกล่วงละเมิดเท่านั้น แต่สุนัขนักบำบัดเหล่านี้ยังเข้าไปดูแลผู้ป่วยในประเภทต่างๆ อาทิ ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยจากโรคสมองเสื่อม (Alzheimer) โรคซึมเศร้าโรคเครียด หรือผู้ป่วยที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจอย่างหนัก
ในเว็บไซต์ของ The Matter ได้ไปหยิบยกงานวิจัยหลายชิ้นผ่านบทความที่มีชื่อว่า Psychosocial and Psychophysiological Effects of Human-Animal Interactions : The Possible Role of Oxytocin ที่ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Frontiers เพื่อหาคำตอบของคำถามที่ว่า สภาพจิตใจบำบัดได้ด้วยสัตว์เลี้ยงจริงหรือ ดังนี้
เริ่มต้นที่ Deborah L. Wells จาก Queen’s University งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาพฤติกรรมของคนแปลกหน้า จากกลุ่มตัวอย่าง 1,800 คน โดยเก็บข้อมูลการแสดงความรู้สึกเมื่อได้เห็นผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ 6 รูปแบบด้วยกัน คือ หนึ่ง ผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับลูกหมาลาบราดอร์ สอง ผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับลาบราดอร์ (เต็มวัย) สาม ผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับร็อตไวเลอร์ (เต็มวัย) สี่ ผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์ (หมี)ห้า ผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับถือกระถางต้นไม้ และหก ผู้หญิงที่เดินผ่านแบบปกติธรรมดา
ผลปรากฏว่า ผู้หญิงที่เดินมาตัวเปล่าจะถูกเมินใส่ มากกว่าผู้หญิงที่ถือเท็ดดี้แบร์ หรือกระถางต้นไม้ ส่วนผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับสุนัขจะได้รับความสนใจมากขึ้นตามความเป็นมิตรของสุนัข (โดยเฉพาะลาบราดอร์ที่ดูเป็นมิตร) ส่วนผู้หญิงที่มากับลูกสุนัขจะได้รับรอยยิ้มและการตอบสนองด้วยการพูดคุยที่มากขึ้นกว่ารูปแบบอื่นๆ นี่น่าจะตีความได้ไม่ยากว่า สัตว์เลี้ยงคือสื่อสำคัญที่สร้างปฏิสัมพันธ์ต่อมนุษย์ได้ในระดับที่น่าสนใจ
อีกหนึ่งงานวิจัยเป็นของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (National Institutesof Health) โดยทำการศึกษาเรื่อง The Benefit of Pet and Animal-Assisted Therapy to the Health of OlderIndividuals จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 144 ราย ที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ในผู้สูงอายุ โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเพื่อควบคุม และประเมินผลโดยใช้แบบประเมินทางจิตใจ พบว่า ในกลุ่มที่ได้รับการบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยงมีค่าคะแนนกลุ่มอาการทางจิตใจ (psychological symptoms) ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการบำบัดอย่างชัดเจน และมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากว่า 28 ราย ที่ได้รับการประเมินจากแบบประเมินภาวะซึมเศร้า มีอาการของโรคซึมเศร้าลดลง ขณะที่การบำบัดในผู้ป่วยโรคจิตเภทกว่า 20 ราย ที่ได้รับการบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) 3 ชม.ต่อสัปดาห์ ด้วยการอาบน้ำ ให้อาหารตัดขน ฯลฯ การประเมินผลทางด้านการเข้าสังคม (Social Functioning) ของผู้ป่วยดีขึ้นอย่างน่าตกใจ
นี่เองที่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเรือนจำในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงได้มีการจัดโปรแกรมฝึกสุนัข TAILS (TeachingAnimals and Inmates Life Skills) โดยมอบหน้าที่ให้ผู้ต้องขังได้ทำการฝึกหัดสุนัขที่นำมาจากศูนย์พักพิงสัตว์ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มคุณค่าให้กับสุนัขเหล่านั้น และสร้างโอกาสในการถูกรับไปเลี้ยงในบ้านใหม่เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญ เจ้าโปรแกรมนี้ยังช่วยปรับพฤติกรรมของเหล่าบรรดาผู้ต้องขัง ให้ได้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์ ความรัก และความมีเมตตา ในแบบที่รู้ตัว และไม่รู้ตัวได้อีกต่างหาก
-- “นั่นเพราะพวกเขาเห็นตัวเองอยู่ในตัวสุนัข” Jen Deane ผู้อำนวยการ TAILS “ระหว่างพวกเรา และสัตว์เลี้ยงทุกตัวต่างเข้าใจกันดี พวกมันถูกสังคมทอดทิ้ง ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในกรง ไม่มีอิสระ จนกว่าจะได้บ้านหลังใหม่ ดังนั้น เมื่อเราเข้ามาฝึก มาเล่น มันช่วยทำให้เราลืมเรื่องราวของตัวเอง และทำให้เราหันมาสนใจที่จะมอบความรัก และความอบอุ่น ให้แก่พวกมันแทน” Aubrey Herrera นักโทษคดียาเสพติดและความรุนแรง วัย 31 ปี ได้แสดงความรู้สึกหลังได้เข้าร่วมโครงการฝึกสุนัขในเรือนจำ
สำหรับรูปแบบของการฝึกนั้น ในแต่ละครั้งจะฝึกตั้งแต่ 4 ไปจนถึง11 ตัว โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะได้รับความช่วยเหลือจากสมาคมผู้ฝึกสอนสุนัขมืออาชีพ นักโทษหลายคนจึงการันตีฝีมือในการฝึกสุนัขในระดับมืออาชีพได้เลย ถึงขนาดที่หลายคนเดินออกจากเรือนจำไปแล้วสามารถประกอบอาชีพด้านนี้หารายได้หลัก หรือบางคนก็ไปเรียนต่อเป็นสัตวแพทย์ก็มี
ที่น่าสนใจคือ ในรายของ “คริส วอกท์” นักโทษคดีฆ่าคนตาย ที่ต้องถูกตัดสินจำคุกนานถึง 48 ปี ชีวิตภายหลังลูกกรงของเขาจมอยู่กับความรู้สึกผิดจากพฤติกรรมอันเลวร้ายในอดีต จนได้มาเข้าโครงการ Colorado Cell Dogs โครงการฝึกสุนัขจากศูนย์สงเคราะห์ให้กลายเป็น “สุนัขช่วยเหลือ” สำหรับผู้พิการ (หูหนวกและตาบอด)
วันหนึ่งคริสก็ได้รับข่าวว่า มีสามี-ภรรยาคู่หนึ่งมาขอความช่วยเหลือให้ช่วยฝึกสุนัขเพื่อบำบัดลูกชายของพวกเขาที่มีอาการ “แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม” ซึ่งเป็นปัญหาอย่างมากในการเข้าสังคมกับคนอื่นๆ เพราะลูกชายของพวกเขา “แซคชารี ทัคเกอร์” ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ทั้งยังมักตื่นตระหนกและหวาดระแวง จนอาละวาดที่โรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง
แน่นอนว่า คริสรับปาก และหาหนังสือมาศึกษาวิธีการฝึกสุนัขเพื่อบำบัดอาการ “แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม”อย่างคร่ำเคร่ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็นัดเจ้าหนุ่มแซคชารีให้มาพบเจอกัน แล้วแนะนำให้หนุ่มน้อยได้รู้จักกับ “ไคลน์”เพื่อน (สุนัข) คนใหม่ และนักบำบัดคนสำคัญ พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยและแต่ละครั้งก็นานพอสมควร ในที่สุดอาการตื่นตระหนก และหวาดระแวงของแซคชารีก็ค่อยๆ ดีขึ้น
ท้ายที่สุด คำขอบคุณและอ้อมกอดจากเด็กหนุ่มคนนั้น ก็ทำให้ “คุณค่า” ในชีวิตของคริสถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง จากความมืดมิด และชีวิตที่เคยพัง กลับมีช่วงเวลาที่งดงาม เต็มไปด้วยแสงสว่าง นั่นเพราะเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี