เมื่อเด็กคุ้นเคยกับหนังสือตั้งแต่เขายังเล็กๆเด็กจะไม่รู้สึกแปลกแยกกับการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแล้วเขาจะมีหนังสือเป็นเพื่อนตลอดไป เพราะเขารู้ดีว่าหนังสือคือเพื่อนของเขา แล้วเขาจะมีความสุขกับการอ่านหนังสือ
แนวหน้าวาไรตี้สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยพาคุณไปสนทนากับ คุณทรงยศ สามกษัตริย์ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้สาธารณชนได้ทราบความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของธุรกิจหนังสือในสังคมไทยว่ากำลังเผชิญกับสภาวการณ์เช่นใด รุ่งเรืองหรือร่วงโรย
l คนบางกลุ่มบอกว่าหนังสือที่เป็นกระดาษกำลังจะตายจากโลกนี้ไป ในฐานะผู้บริหารศูนย์หนังสือจุฬาฯ มีมุมมองอย่างไรกับคำพูดดังกล่าวครับ และจากสถิติผู้เข้าใช้บริการในศูนย์หนังสือจุฬาฯ มีจำนวนมากขึ้นหรือน้อยลง ในระยะ 2-3 ปีมานี้
พูดกันตามข้อเท็จจริงคือ ทุกวันนี้กระบวนการผลิตหนังสือยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ยังมีผู้เขียนหนังสือ และยังมีการผลิตหนังสือออกสู่ตลาดทุกวัน และมีคนหน้าใหม่เข้าสู่วงการหนังสือตลอดเวลา นั่นแสดงว่ายังมีคนสนใจหนังสืออยู่ และหนังสือที่ผลิตออกมาทุกวันนี้ก็มีหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการอ่านของคนเฉพาะกลุ่ม เราพบว่ามีหนังสือที่เฉพาะเจาะจงสำหรับกลุ่มต่างๆ มากมาย ขึ้นอยู่กับความสนใจใคร่รู้ของผู้อ่านในกลุ่มต่างๆ เช่น จำพวก Know Howจำพวกเรียนรู้เฉพาะด้าน เช่น หุ้น ตลาดหลักทรัพย์การท่องเที่ยว ธรรมะ หรือภาษาต่างประเทศ เพราะฉะนั้นผมมั่นใจว่าหนังสือจะไม่ตายไปจากโลกใบนี้ แต่หนังสือจะเป็นหนังสือเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ผมแบ่งหนังสือออกเป็นสองชนิด คือหนังสือที่จำเป็นต้องอ่าน เช่น ตำราเรียนในแต่ละระดับชั้น คู่มือสอบ คู่มือสอบบรรจุ เป็นต้น ส่วนอีกประเภทคือหนังสือที่เลือกอ่าน ซึ่งหนังสือที่เลือกอ่านนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มคน เช่น วัยรุ่นที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ก็เลือกหนังสือการท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ด้วยตัวเอง หรือผู้ที่สนใจการทำธุรกิจ และการเงิน ก็จะเน้นไปที่หนังสือกลุ่มที่ให้ความรู้เฉพาะด้าน คือโฟกัสไปที่สิ่งที่แต่ละคนสนใจ แต่เท่าที่สังเกตนั้นความสนใจของคนอ่านก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และตามกระแสสังคมเช่นบางปีคนสนใจเรื่องธรรมะมาก หนังสือกลุ่มนี้ก็จะขายดีเป็นที่สนใจ บางยุคคนรุ่นใหม่ชอบเรื่องการเกษียณอายุการทำงานเร็วๆ ก็จะสนใจเรื่องหุ้น เรื่องการลงทุน บางช่วงก็สนใจเรื่องราวในหนังสือที่เขียนโดยคนดังของสังคม นี่คือตัวสะท้อนความสนใจของสังคมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดโดยผ่านกลุ่มคนอ่านหนังสือแต่ละกลุ่ม ซึ่งก็เป็นไปตามกระแสความสนใจ ส่วนกระแสE- book ก็มีเข้ามาเป็นระยะๆ แต่หนังสือเล่มก็ยังคงอยู่ได้แต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของคนอ่าน สรุปคือหนังสือเล่มไม่ตายไปจากโลกนี้แน่นอน ส่วนสถิติผู้ใช้บริการศูนย์หนังสือจุฬาฯ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้ามาใช้บริการตลอด ขณะเดียวกันผู้ปกครองก็พาลูกหลานตัวน้อยๆ เข้ามาใช้บริการเสมอๆ ซึ่งเราเตรียมพื้นที่ให้ผู้ปกครองพาลูกหลานตัวเล็กๆ เข้ามาทำความคุ้นเคยกับหนังสือ สามารถนั่งอ่านได้ทั้งวัน หรือนานเท่าที่ต้องการ อ่านโดยไม่ซื้อก็ไม่ว่ากันขอให้เข้ามาอ่าน เราก็ดีใจแล้ว
l แสดงว่า E-book ไม่ได้ส่งผลกระทบกับศูนย์หนังสือจุฬาฯ มากนักใช่ไหมครับ
ก็มีผลกระทบบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดวิกฤติซึ่งเราก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้อ่าน ผมสังเกตจากตลาดหนังสือในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งมีผลวิจัยเปรียบเทียบระหว่างหนังสือเล่ม กับ E-book พบว่า E-bookเติบโตขึ้นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วเมื่อแตะระดับ30 เปอร์เซ็นต์ แล้วมันก็ไม่โตต่อไป ส่วนหนังสือเล่มยังคงอยู่ได้ต่อไป แล้วที่สำคัญคือระยะหลังๆ มีการเปิดร้านหนังสือมากขึ้นในยุโรป
l เห็นด้วยครับ ผมเห็นว่าตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในยุโรปมีร้านหนังสืออยู่ทุกแห่ง และมีโปสต์การ์ดขายมากมาย เพื่อให้คนไปเที่ยวได้เลือกซื้อกันตามความชอบ
ใช่ครับ นั่นคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองนอกร้านหนังสือยังเป็นสถานที่ยอดนิยม และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพราะคนยุโรปยังชอบอ่านหนังสือเล่มๆ ตามประเภทที่แต่ละคนต้องการและสนใจ ในบางแห่งเปิดร้านหนังสือ 24 ชั่วโมงเลย นั่นแสดงว่ายังมีคนนิยมอ่านหนังสือ แน่นอนว่ายุคนี้มีกระแส social media เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ซึ่งก็ทำให้คนบางกลุ่มหันไปนิยม social media จึงทำให้อ่านหนังสือเล่มน้อยลงซึ่งก็เป็นไปตามกระแสโลก เพราะข้อเท็จจริงคนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน เมื่อเขาใช้เวลาไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว เวลาสำหรับการทำเรื่องอื่นก็จะลดลงไป เช่นถ้าเขาสนใจ social media เขาก็ให้เวลากับหนังสือเล่มน้อยลง ซึ่งต่างจากคนยุคก่อนที่ยังไม่มีอิทธิพลของ social media ในชีวิตประจำวันมากนักดังนั้นเขาจึงสนใจหนังสือมาก เพราะเมื่อว่างจากการทำงาน ถ้าไม่เล่นกีฬา ไม่ทำงานอดิเรกอื่น ก็มักจะอ่านหนังสือ แต่ระยะหลังมีคนที่เห็นว่า social mediaให้ประโยชน์ได้ไม่เท่ากับหนังสือ เขาก็กลับมาอ่านหนังสือ เพราะหนังสือมีตัวตนมีที่มาที่ไปมากกว่า social media บางชนิด เพราะเรารู้ว่าใครเขียนหนังสือ และมีการอ้างอิงได้ แต่ใน social media นั้น หลายครั้งไม่สามารถอ้างอิงได้ เพราะเราไม่รู้ว่าต้นตอมาจากไหน ไม่รู้ว่าใครให้ข้อมูลใน social media ต้องบอกว่ากว่าจะผลิตหนังสือขึ้นได้แต่ละเล่ม ต้องมีการค้นคว้า ต้องมีที่มาที่ไป และต้องพิสูจน์ได้ เพราะถ้าหากไม่สามารถพิสูจน์ได้แล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะมีใครกล้าผลิตหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา ถ้าเทียบกับ social media ต้องยอมรับว่าหนังสือมีแหล่งอ้างอิงมากกว่า
l มีคนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทยบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ เพราะสามารถอ่านได้ฟรีจากอินเตอร์เนต ผมถามกลับว่า เพราะอ่านได้ฟรีใช่หรือไม่ แล้วถ้าหากต้องเสียเงิน จะยังคงอ่านจากอินเตอร์เนตหรือไม่ คู่สนทนาก็นิ่งไป ผมขอถามว่าหนังสือเล่มๆ เหล่านี้ถูกนำไป down load ลงในอินเตอร์เนต แล้วคนทั่วไปสามารถอ่านได้ฟรี มีบ้างหรือไม่ครับ
นั่นคือการละเมิดลิขสิทธิ์ครับ หากนำหนังสือเล่มไป down load ลงอินเตอร์เนตมันคือการละเมิดลิขสิทธิ์ เราไม่ควรส่งเสริมให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์ เราต้องช่วยกันสนับสนุนให้คนเขียนหนังสือมีรายได้ อย่าช่วยคนทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะพวกที่นำหนังสือไป down load ลงอินเตอร์เนต เราต้องเคารพสิทธิ์ของผู้แต่งหนังสือ เพราะกว่าเขาจะค้นคว้าเรื่องราวใดๆ จนสามารถนำไปเขียนหนังสือได้สักเล่มหนึ่ง เขาต้องทุ่มเทมาก ต้องค้นคว้า ต้องสืบหา และต้องเรียบเรียงข้อมูล เราต้องช่วยกันต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ครับ การละเมิดลิขสิทธิ์เช่นนั้นทำให้เจ้าของเว็บไซต์ได้ประโยชน์ แต่ผู้แต่งหนังสือเสียประโยชน์ เราไม่ควรทำตัวให้เป็นผู้ละเมิดกฎหมาย
l เวลาเห็นผู้คนเข้ามาในศูนย์หนังสือจุฬาฯ โดยเฉพาะเมื่อเห็นพ่อแม่ผู้ปกครองพาลูกหลานมาดูหนังสือ ในฐานะผู้บริหารศูนย์หนังสือจุฬาฯ มีความรู้สึกอย่างไรครับ
มีความสุขมาก ไม่ว่าเขาจะซื้อหนังสือของเราหรือไม่ เราก็มีความสุข สุขเพราะเห็นคนอ่านหนังสือมีความสุขเพราะเห็นเด็กสนใจหนังสือ สุขเพราะเห็นพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกๆ รักการอ่าน เมื่อเด็กรักการอ่านรักหนังสือแล้ว เขาจะไม่รู้สึกแปลกแยกกับการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หรือไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้ต้องอ่าน เขาจะอ่านหนังสืออย่างมีความสุข และจะแสวงหาความรู้ไปตลอดชีวิต สมัยก่อนปู่ยาตายายมักมีวิธีสอนให้ลูกหลานรักการอ่าน โดยให้ลูกหลานอ่านหนังสือให้ฟัง แล้วให้รางวัลตอบแทน เด็กจึงอ่านหนังสือบ่อย จึงรักการอ่านไปโดยปริยาย แต่เดี๋ยวนี้บางบ้านปล่อยให้ลูกหลานอยู่กับโทรศัพท์มือถือจำพวก smart phone มากเกินไปเด็กๆ จึงไม่รักการอ่าน แต่ติดเกมมากกว่า แต่บางบ้านก็ยัดเยียดบังคับให้เด็กอ่านหนังสือ เด็กบางคนจึงเกลียดหนังสือ ไม่อยากอ่าน เพราะเขาไม่ได้อ่านเพราะความอยากอ่านของตัวเขาเอง เด็กมักจะดูจากต้นแบบในบ้านด้วย บางบ้านพ่อแม่ไม่อ่านหนังสือ แต่อยู่กับ smart phone ตลอดเวลา แบบนี้เด็กก็ไม่ชอบอ่านหนังสือตามไปด้วย ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกรักการอ่าน ต้องเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกก่อน
l กลุ่มลูกค้าสำคัญของศูนย์หนังสือจุฬาฯ คือใครครับ
นักเรียน นิสิต นักศึกษาครับ คนกลุ่มนี้เข้าไปใช้บริการศูนย์หนังสือจุฬาฯ ทุกสาขา โดยเฉพาะเด็กที่ต้องการหาหนังสือเรียน หนังสือสำหรับอ่านสอบ นักเรียนนิสิต นักศึกษาจะเข้ามาใช้บริการมากเป็นพิเศษในช่วงใกล้สอบ โดยเฉพาะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนคนทั่วไปก็เข้ามาใช้บริการในศูนย์หนังสือจุฬาฯ เป็นจำนวนมากอย่างน่าพอใจ แล้วก็ยังมีสถาบันการศึกษาเป็นลูกค้าสำคัญด้วย เขาต้องการให้เราจัดหาหนังสือให้กับสถาบันการศึกษาของเขา และยังมีองค์กรอื่นๆ บ้าง โดยเฉพาะองค์กรที่เน้นการสร้างภูมิความรู้ให้กับพนักงาน ก็จะให้เราจัดหาหนังสือให้ เพื่อนำไปให้พนักงานอ่าน และยังมีกลุ่มคนที่ตั้งใจบริจาคหนังสือให้กับโรงเรียน วัด และที่อื่นๆ เขาก็ให้เราจัดหนังสือให้เหมาะสมกับกลุ่มคนอ่านในแต่ละที่ ซึ่งเราก็ยินดีเป็นอย่างมาก หลายคนเข้ามาเพราะตั้งใจจะหาหนังสือบางเล่ม บางชนิด แต่เมื่อเข้ามาแล้ว เขาได้เห็นหนังสืออื่นๆ ที่น่าสนใจ เขาก็ซื้อหาไปอ่าน บางคนไม่ซื้อ แต่ยืนอ่านนานๆ เราก็ยินดี เราไม่หวงห้าม
l ศูนย์หนังสือจุฬาฯ มีบริการสั่งซื้อหนังสือผ่านระบบโทรศัพท์ หรือผ่านระบบอินเตอร์เนต หรือไม่ครับ
มีครับ เราพยายามอำนวยความสะดวกให้กับผู้อ่านให้มากที่สุด แต่จริงๆ แล้วเราอยากให้ผู้อ่านเข้ามาสัมผัสหนังสือในศูนย์หนังสือจุฬาฯ เพราะเมื่อเข้ามาแล้วจะได้เห็นหนังสือเล่มอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อได้ลองอ่านแล้วก็จะยิ่งสนุกกับการอ่าน การสั่งซื้อหนังสือผ่านระบบออนไลน์เป็นการอำนวยความสะดวก ช่วยให้ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ แต่ขอยืนยันว่าหากมีโอกาสเข้ามา ก็อยากเชิญชวนให้เขามาดูหนังสือเล่มอื่นๆ ด้วย เพราะยิ่งได้เห็น ยิ่งได้อ่าน จะยิ่งสนุกกับการอ่านบางคนอ่านหนังสือเล่มที่ไม่ได้ตั้งใจซื้อ แต่สุดท้ายก็ซื้อเพราะอ่านแล้วชอบ ต้องขอย้ำว่า ยิ่งได้อ่านหนังสือ ก็จะยิ่งรู้สึกสนุก และได้ประโยชน์มามากมาย ศูนย์หนังสือจุฬาฯไม่หวงหนังสือ ใครอยากอ่านเล่มไหน เชิญอ่านตามสะดวก เราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากสำนักพิมพ์ต่างๆ เขายินดีนำหนังสือมาให้เราวางบนชั้นหนังสือ รอให้ผู้อ่านได้อ่าน ศูนย์หนังสือจุฬาฯ พยายามนำเสนอหนังสือมากที่สุดเพื่อให้คนอ่านเลือก เราพยายามจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการอ่านหนังสือตลอดเวลา เพราะหนังสือนั้นหากวางอยู่บนชั้นเฉยๆ ก็อาจจะไม่มีใครสนใจมากนัก แต่เมื่อมีกิจกรรมกระตุ้นการอ่านก็ทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น
l เศรษฐกิจยุคนี้ คนซื้อหนังสือบ่นว่าหนังสือแพงหรือไม่ครับ
ผมอยากบอกว่าหนังสือนั้นเหมือนอาหาร มันต้องชิมก่อน จึงจะรู้ว่าอร่อยหรือไม่ นั่นคือต้องลองอ่านก่อนอ่านแล้วชอบก็ซื้อ อ่านแล้วไม่ชอบก็ไม่ซื้อ แต่ที่สำคัญต้องอ่านก่อน ยุคนี้เศรษฐกิจดูไม่ค่อยดี ดังนั้นการที่คนแต่ละคนตัดสินใจซื้อหนังสือ เขาจึงต้องอ่านก่อน เมื่อเขาอ่านแล้วชอบ เขาก็ซื้อ แล้วเขาก็ไม่คิดว่าหนังสือมีราคาแพง เพราะเขาได้ประโยชน์จากหนังสือ
l อย่างหนังสือเล่มนี้ ชื่อพุทธธรรม เขียนโดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตโต) ราคา200 บาท หนาประมาณ 380 หน้า แบบนี้เรียกว่าราคาแพงไหมครับ ส่วนเล่นนี้ชื่อ ข้าพเจ้าทดลองความจริง เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของมหาตมะ คานธี หนังสือแปล ราคา 750 บาท หน้าประมาณ 760 หน้าเฉลี่ยหน้าละ 1 บาท อย่างนี้เรียกว่าแพงไหมครับ
คนอาจจะบ่นว่าหนังสือแพง ก็ต้องดูว่าเขาบ่นเพราะอะไร แต่ต้องบอกว่าหนังสือมีหลายระดับ หลายราคาขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน แต่หนังสือหนึ่งเล่มนั้นหากอ่านเกินหนึ่งครั้ง ราคาก็ถือว่าถูกลง ยิ่งอ่านบ่อยๆ ราคาก็ยิ่งถูกลงไปเรื่อยๆ อ่าน 10 ครั้ง ก็เท่ากับราคาเหลือแค่เล่มละ 20 บาท อย่างเช่นหนังสือของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ปยุตโต เป็นหนังสือปกแข็ง เย็บเล่มอย่างดี หนาประมาณ 380 หน้า ราคา 200 บาทผมเห็นว่าไม่แพงเลย ค่าถ่ายเอกสารยังแพงกว่าเลย ต้องถามว่าเงิน 200 บาท ใช้อะไรได้บ้างในยุคนี้ แต่สามารถซื้อหนังสือดีๆ ได้หนึ่งเล่ม และสามารถเก็บไว้อ่านได้อีกนาน ผมมีตัวอย่างคือ มีอาจารย์บางท่านบริจาคเงิน2,500 บาท บอกว่าต้องการให้ช่วยเลือกหนังสือให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จะได้หนังสือกี่เล่มผมบอกว่าจัดได้หลากหลาย ตั้งแต่ 20 ถึง 30 เล่มตามแต่ชนิดของหนังสือ
l มีผู้วิจารณ์ว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย ปีหนึ่งอ่านไม่ถึง 6 บรรทัด ฟังแล้วเจ็บปวดนะครับ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเชื่อมากนัก แต่เท่าที่ผมสังเกตคือทำไมหนังสือบางเล่มขายดีจังเลย ทั้งๆ ที่อ่านแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจมากนัก มีมุมมองเรื่องนี้อย่างไรครับ
แล้วแต่ความชอบของผู้อ่าน เหมือนอาหารที่แต่ละคนชอบต่างกันไป บางคนบอกว่าร้านนั้นอร่อย แต่เราบอกว่าไม่อร่อย ขึ้นกับความชอบของคนครับ แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน มันขึ้นกับยุคสมัยด้วย เราชอบหนังสือแบบไหน เราก็อ่านแบบนั้น คนอื่นชอบแบบไหน เขาก็เลือกอ่านแบบนั้น
l ย้อนกลับไปคุยเรื่องอนาคตของหนังสือเล่มคิดว่ายังอยู่ได้ใช่ไหมครับ
ผมตอบแบบนี้แล้วกัน สมัยเมื่อยังไม่มีโทรทัศน์คนฟังวิทยุมาก เมื่อโทรทัศน์เกิดขึ้น วิทยุก็ยังไม่สูญหายไปใช่ไหมครับ หนังสือก็เช่นกัน แม้จะมี social media แต่มันก็คงละกลุ่มกัน มันเป็นเรื่องของยุคสมัย หนังสืออาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่มันยังต้องคงอยู่ต่อไป หนังสืออาจจะมีการเกิดขึ้น และมีปิดตัวลงไปบ้าง มันอยู่ที่ความต้องการของคนอ่านเป็นสำคัญ ส่วนคนทำหนังสือก็ทำตามความถนัดของตัวเอง หนังสือดีๆ เล่มหนึ่ง อ่านได้ทั้งบ้าน และอ่านได้ทุกยุคทุกสมัย เช่น เรื่องเจ้าชายน้อย หนังสือแปล ที่เขียนโดยอองตวน เดอ แซงเตกซูเปรี หนังสือเล่มนี้อ่านกี่ครั้งก็ได้มุมมองที่น่าสนใจ อ่านในวันที่เราเป็นเด็ก เราก็ได้มุมมองแบบหนึ่ง อ่านเมื่อวันเราเป็นวัยรุ่นก็ได้มุมมองอีกแบบหนึ่ง อ่านในวันที่เราเป็นผู้ใหญ่ ก็มีมุมมองต่างไปอีกแบบหนึ่ง แบบนี้น่ามหัศจรรย์ไหมเล่าผมยืนยันว่าหนังสือดีๆ มีคุณค่ามาก หนังสือเล่มเดียวกัน เมื่ออ่านในวัยที่ต่างกัน ก็จะได้วิธีคิดที่แตกต่างกัน มันขึ้นกับประสบการณ์ของคนอ่านในแต่ละช่วง นี่แหละคือความมหัศจรรย์ และมันคือคุณค่าของหนังสือ หนังสือจึงเป็นขุมความรู้ เป็นแหล่งที่น่ารื่นรมย์ของคนอ่าน และเป็นเพื่อนแท้ของคนรักการอ่าน
คุณสามารถพบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการ แนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ TNN2ช่อง 784 ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ผู้หญิงแนวหน้า by คุณแหน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี