1.อันที่จริงการทำคลิปสั้นๆ เพื่อสร้างอารมณ์ขำขัน (meme) เชิงล้อเลียน-ประชดประชันคนรุ่น Gen B (ค.ศ. 1946-1964) ก็ได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์มาในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่กลายมาเป็น Talk of The Town หรือประเด็นใหญ่อีกครั้ง มาจากกรณีที่“โคลเอ้ สวอร์บริค” (Chloe Swarbrick)นักการเมืองวัยเบญจเพส กับวลีสั้นๆ “OK Boomer” ที่เธอบอกแก่ “ท้อดด์มูลเลอร์” (Todd Muller) นักการเมืองอาวุโส หลังจากที่เขามาทักท้วงเธอตอนกำลังให้ความเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ว่าเขาไม่เห็นด้วยในสิ่งที่เธอกำลังสื่อสาร ระหว่างการประชุมสภาฯที่ประเทศนิวซีแลนด์
ด้วยความที่ “OK Boomer” ถือเป็นคำที่มีความหมายสื่อไปในทางลบสำหรับคนสูงวัย และก็มีคนส่วนหนึ่งที่มีอคติกับพวกเขาเหล่านั้น (ในฐานะนักการเมืองแนวอนุรักษ์นิยม) เป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่เองที่ทำให้คลิปสั้นๆ ในเหตุการณ์นี้ถูกทำซ้ำๆ ผ่านรายการทางออนไลน์และนักทำคลิป (Youtuber) อีกมากมายหลายท่าน จนกลายเป็นกระแสให้“คนแก่” ออกมาตอบโต้กลับบ้าง ในประเด็นต่างๆ มากมายที่พวกเขารู้สึกว่า “คนรุ่นใหม่ช่างไม่เอาไหนเสียจริงๆ” ตรงนี้เองที่ทำให้นักสื่อสารมวลชนหลายท่านกังวลกันไปต่างๆ นานา ว่ามันอาจมีโอกาสจะพัฒนาไปเป็นสงครามระหว่างช่วงวัยบนโลกออนไลน์ และบนพื้นที่จริงในอนาคตก็เป็นได้
แต่ก่อนจะไปลงรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่พวกเขาตอบโต้กันนั้น มาเริ่มจากการรู้จักช่วงวัยต่างๆ ก่อนว่า บริบทในแต่ละช่วงเวลานั้นได้ “ผลิบาน”พวกเขาออกมาในรูปแบบใด
2.มาเริ่มที่คนในยุค Gen Bหรือ Baby Boomer Generation กันก่อนถ้านับเป็นช่วงเวลาในปัจจุบัน คนในช่วงยุคนี้ก็จะมีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และเติบโตขึ้นมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดังนั้น การรับรู้เกี่ยวกับความเสียหายจากสงคราม และแนวคิดในการปกป้องชาติบ้านเมืองจึงมีความเข้มข้น ประชาชนในรุ่นนี้จะได้รับการสร้างวินัยในการพัฒนาประเทศผ่านการอยู่ในกฎกติกา มีความอดทน มัธยัสถ์ และทำงานอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญ พวกเขาค่อนข้างจะหนักแน่นในสิ่งที่ตนเองเชื่อ จนบางคนหนักไปถึงขั้นเป็นพวก “อนุรักษ์นิยม” (Conservatism) ก็มี แน่นอนว่า “การเปลี่ยนแปลง” อะไรก็ตามที่พวกเขาไม่รู้จักย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยินดีนัก
รุ่นต่อมา ถึงตรงนี้ก็อายุปาเข้าไป40 นิดๆ กันแล้ว ก็คือ Gen X หรือGeneration X (ค.ศ.1964-1979) ผู้คนในยุคนี้ค่อนข้างมีความเป็น “ขบถ” อยู่ในตัวเอง ด้วยสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และบริบททางเศรษฐกิจ ที่ค่อยๆ ตัดขาดจากยุค Gen B ไปอย่างผิดหูผิดตา ทุนนิยมเริ่มมีบทบาทสำคัญในการขยับขยายฐานะของพลเมือง การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเริ่มมีผลกับสิ่งแวดล้อม และการเป็นปัจเจกชนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการแสดงตัวตนอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะจำนวนประชากรที่มากเกินไป (ผลกระทบจาก Gen B ผลิตประชากรเพื่อสร้างประเทศ)กระบวนการจัดลำดับความสำคัญจึงถูกนำมาผสมผสานไว้ในภาคส่วนต่างๆ มากมาย และนี่เองที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่เริ่มเกิดขึ้น
3.สำหรับ Generation Y หรือ Gen Y (ค.ศ.1980-1997) ก็น่าจะมาจากอานิสงส์ของหนุ่มสาวในยุค Gen Bเสียส่วนใหญ่ ซึ่งด้วยวิธีคิดแบบมีระบบที่ชัดเจน นี่เองที่ทำให้คนในยุค Gen Y ถูกตั้งทิศทางเอาไว้ในแบบที่ครอบครัวคิดว่า“น่าจะดีกับชีวิตในอนาคต” และกรอบต่างๆก็ได้รับการออกแบบไว้อย่างชำนาญเพื่อการเดินไปในสายตาของคน Gen B ในแง่บวกพวกเขาเหล่านี้มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตสูง แต่สิ่งที่พวกเขาจะต้องแบกไปทั้งชีวิตก็คือ การได้รับการยอมรับในด้านใดด้านหนึ่ง การแสดงความเป็นตัวของตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และโอกาสที่จะปฏิเสธและต่อต้านในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบอย่างเข้มข้น นี่คือช่วงเวลาที่ได้เปิด “ประตูแห่งปัญหา” ในปัจจุบัน
นิตยสาร Time ฉบับเดือนพฤษภาคมปี 2013 เปิดเผยผลสำรวจบุคลิกภาพและสังคมจิตวิทยา ของมหาวิทยาลัยซานดิเอโกสหรัฐ ก็พบว่า กลุ่ม Gen Y จะมีลักษณะ “หลงตัวเอง” (Narcissism) กล่าวคือมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มีความเห็นแก่ตัว (Egocentric) เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อนๆ ส่วนนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู (University of Waterloo) แคนาดา ได้นำเสนอในเวทีประชุมวิชาการด้านสังคมศาสตร์เพื่อจิตวิทยาสังคมและบุคลิกภาพ ของนักจิตวิทยา และนักสังคมศาสตร์ สหรัฐ ประจำปี 2016 ว่าความเป็นปัจเจกบุคคล เชื่อมั่นในตนเองสูงและยึดถือตนเองในการดำเนินชีวิตในสังคม เป็นลักษณะเฉพาะประจำตัวของคนGen Y
4.เมื่อไล่เลียงกันมาแบบนี้แล้วGen Z หรือ Generation Z (ค.ศ.1997 ขึ้นไป) ก็พอจะเดาออกว่า พวกเขาจะได้รับการพัฒนาในด้านบริบทของชีวิตไปในทิศทางใด เมื่อทุกองคาพยพของโลกใบนี้ล้วนถูกแบ่งออกมาจากความเป็นหนึ่งเดียวไปเสียแล้ว ทุกคนมีพื้นที่ของตัวเอง มีเส้นทางของตัวเอง และสามารถมีปลายทางของตัวเองได้ โดยที่ระหว่างทางนั้น มีข้อจำกัดในเรื่องของ “สัมภาระ” ที่ต้องแบกร่วมทางไปด้วย เพราะด้วยความที่มีอัตราการแข่งขันสูง และประชากรในยุคนี้ “การยอมจำนน” ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่ง การหันหลังให้ธรรมเนียมปฏิบัติ กฎกติกา หรือแม้แต่ในเรื่องของวัฒนธรรม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างสบายตัวมากยิ่งขึ้น
จึงไม่แปลกที่วลีอันเป็นปัญหาอย่าง “OK Boomer” จะมีต้นกำเนิดมาจาก เหล่า Gen Z หรือ Generation Zนี่แหละที่อดรนทนไม่ไหวหลังจากได้รับการต่อว่าจาก Gen B ท่านหนึ่งผ่านคลิปวีดีโอทำนองที่ว่า “เด็ก Gen Z ขาดความอดทน เอาแต่ใจ และไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย” จากตรงนั้นก็ลุกลามกลายมาเป็นกระแส “OK Boomer” ที่ถูกนิยามกันขึ้นมาให้เป็นเสมือนคำกล่าวเรียกคนสูงอายุในความหมายที่เจือไปด้วยทัศนคติทางด้านลบต่อพวกเขา
5.จะบอกกันตามตรงว่า ปัญหาการเป็น “คนแปลกหน้า” ต่อกันในระหว่างช่วงวัยนั้น ทุก Gen ทุกช่วงวัยล้วนมีส่วนในการ “บ่มเพาะ” มันขึ้นมา ก็ไม่น่าจะผิด เพราะพฤติกรรม สภาพอารมณ์ และรูปแบบในการใช้ชีวิต ได้รับการพัฒนามาทีละน้อยๆ ด้วยผลแห่งการกระทำ สภาพเศรษฐกิจ นโยบาย และแนวทางในการดำรงอยู่ในแต่ละยุคสมัยแทบทั้งสิ้น
ทางออกที่สำคัญก็คือ จะทำอย่างไรที่เราจะละลาย “ความแปลกหน้า”ที่มีต่อกันได้ นายแพทย์ฮันส์ โรสลิงได้เคยกล่าวถึง “สัญชาตญาณแห่งการตำหนิ” เอาไว้ในหนังสือ “จริงๆ แล้วโลกดีขึ้นทุกวัน” (Factfulness) ตอนหนึ่งว่า “การตำหนิใครสักคนทำให้เราหันเหไปจากการค้นหาคำอธิบายอื่นที่เป็นไปได้ และขัดขวางความสามารถของเราในการป้องกันปัญหาคล้ายคลึงกันที่อาจเกิดในอนาคต”นี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้โลกของเราเกิด“โศกนาฏกรรมของความแปลกหน้า”ดั่งที่เริ่มมีการปรากฏให้เห็นแล้วในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร หรือแม้แต่ประเทศไทยของเรา
“มองหาสาเหตุ ไม่ใช่ผู้ร้าย” นี่คือสิ่งที่นายแพทย์ฮันส์ ฝากเอาไว้ก่อนจากโลกนี้ไป เพื่อไม่ให้เราต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี