กลายเป็นความกังวลของโลกไปเสียแล้ว หลังการสังหาร “นายพล กาเซ็ม โซไลมานี” ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ “คุดส์” วัย 62 ปี ผู้มีบทบาทสำคัญในการแผ่ขยายอิทธิพลของอิหร่านในตะวันออกกลาง จนเสียชีวิตพร้อมนายทหารรวม 8 คน ที่กรุงแบกแดด ภายใต้การสั่งการของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา(3 ม.ค. 2020)
“เราใช้ปฏิบัติการนี้เมื่อคืน เพื่อหยุดสงคราม เราไม่ได้ทำเพื่อเริ่มต้นสงคราม ถ้าชาวอเมริกันไม่ว่าที่ใดถูกข่มขู่คุกคาม เรามีเป้าหมายทั้งหมดอยู่ในมือแล้ว และผมพร้อมจะใช้มาตรการที่จำเป็น ซึ่งนั่นหมายถึงอิหร่านโดยเฉพาะ” นี่คือคำแถลงของผู้นำสูงสุดของชาวอเมริกัน ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของชาวอิหร่านนับพันคน รวมไปถึง “อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี” ผู้นำสูงสุดชาวอิหร่าน ซึ่งประกาศจะแก้แค้นต่ออเมริกาอย่างแน่นอน
ด้าน “ไซนาบ โซไลมานี”บุตรสาวของ “นายพลกาเซ็ม โซไลมานี”ได้กล่าวต่อประชาชนที่มาเข้าร่วมในพิธีศพพ่อของเธอ ณ มหาวิทยาลัยเตหะราน ว่า การเสียชีวิตของพ่อเธอ จะทำให้แนวร่วมที่ต่อต้านตื่นตัวมากยิ่งขึ้น และทำให้สหรัฐและอิสราเอลจะต้องพบกับวันแห่งความมืดมน
“ไซนาบ โซไลมานี” เรียกประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐ ว่า เป็นนักพนันตัวยง แผนการชั่วร้ายของเขาที่ต้องการทำให้อิหร่านและอิรักแตกแยกกัน ด้วยการสังหารบิดาของเธอ และผู้บังคับการกองกำลังอิรัก เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์และล้มเหลว เพราะมีแต่ทำให้สองประเทศนี้สามัคคีกันครั้งประวัติศาสตร์ และเกลียดชังสหรัฐอย่างชั่วกัลปาวสาน
“ทรัมป์ผู้บ้าคลั่งเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความโง่เขลา และของเล่นในมือพวกไซออนนิสต์สากลเท่านั้น อาชญากรรมชั่วร้ายของชาวอเมริกันเผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณของการทำผิดกฎหมายและการข่มเหงรังแกที่ครอบคลุมการนองเลือดทุกหนแห่ง โดยเฉพาะในดินแดนปาเลสไตน์” นี่น่าจะเป็นสัญญาณแห่งความโกรธแค้นที่ชัดเจนยิ่ง
ให้หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี อดีตผู้อำนวยการสร้างและผู้ดำเนินรายการเรียลิตี้โชว์ “The Apprentice” ทางช่องเอ็นบีซี ได้ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงเอาไว้มากมาย ตั้งแต่การประกาศใช้มาตรการภาษีกับสหภาพยุโรป (อียู) โดยอ้างเรื่องของการเสียดุลการค้าของสหรัฐฯ การถอนตัวออกจากสนธิสัญญาลดโลกร้อนที่กรุงปารีสกะทันหัน โดยอ้างเรื่องของภาระทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ต้องแบก การประกาศย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาท (ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์) โดยอ้างว่าเป็นกระบวนการใหม่ที่จะทำให้การเจรจาสันติภาพคืบหน้า เช่นเดียวกับการประณามและสร้างวิวาทะกับผู้นำเกาหลีเหนือ “คิม จอง อึน” จนนำไปสู่การพบปะกันในที่สุด แต่ท้ายที่สุดการเจรจา (เรื่องปลดนิวเคลียร์) ก็ไม่สำเร็จ รวมไปถึงการปะทะกับจีน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของการขึ้นภาษี และแบนเทคโนโลยี ที่สร้างปัญหาไปทั่วโลก ด้วยการอ้างว่าเป็นเหตุผลทางความมั่นคงของสหรัฐฯ จนมาถึงเหตุการณ์สังหารผู้นำทางทหารชาวอิหร่านที่เกิดขึ้นล่าสุด พร้อมกับข้ออ้างในการหยุดสงคราม
แน่นอนชาวอเมริกันย่อมมีทั้งที่เห็นด้วยและต่อต้านในแต่ละการกระทำของท่านผู้นำสูงสุด และแม้สถานะประธานาธิบดีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะถูกท้าทายมาตลอดสมัย ทั้งในด้านจริยธรรม และคดีความต่างๆ ถึงขนาดกัปตันอเมริกาตัวจริง อย่างนักแสดงหนุ่ม “คริส อีแวนส์”(ผู้รับบทบาทในภาพยนตร์) ยังเคยออกมาโพสต์ผ่านทวีตเตอร์ส่วนตัวว่า “ค่ำคืนนี้ของอเมริกา ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุด เราปล่อยให้คนที่ชอบปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังได้ขึ้นมาบริหารประเทศ ปล่อยให้คนที่ชอบใช้อำนาจข่มขู่คนอื่นมากำหนดทิศทางในชีวิตของเรา ผมเสียใจสุดๆ” แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มผู้สนับสนุนหลักของทรัมป์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนผิวขาวฝ่ายขวา (เชิดชูคนผิวขวา ต่อต้านผิวสี) ก็ยังคงให้การหนุนหลังเขาอย่างล้นหลาม และดูเหมือนทว่าจะออกมาแสดงตัวเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ
อาจบอกได้ว่า การกระทำของ “โดนัลด์ ทรัมป์” คือสิ่งที่กองเชียร์ของเขาต้องการก็คงไม่ผิดนัก และนี่เองคือสิ่งที่เขาใช้หาเสียง จนกลายมาเป็นแคมเปญที่ชื่อว่า American First หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ซึ่งคาดว่า จะกลับมาทรงพลัง เมื่อ “การเลือกตั้งประธานาธิบดี” ได้เวียนมาอีกครั้งในปีนี้ (2020)
ดังนั้น การสร้าง “ศัตรูร่วม” ด้วยการต่อต้านหรือโจมตี กลุ่มบุคคลต่างชาติต่างศาสนา หรือประเทศที่อยู่ตรงกันข้ามทางรูปแบบการปกครอง ไปจนถึงการสร้างความรู้สึกเป็นพรรคเป็นพวกกับคนในประเทศ โดยไม่สนใจต่ออะไรทั้งสิ้น แม้แต่กฎกติกาใดๆ ก็ตามนี่คือการปลุกระดม “ความคลั่งชาติ” ให้โหมกระพืออีกครั้งในหมู่อเมริกันชน หลังเดินหน้าประกาศสร้างกำแพงกั้นพรมแดนกับ “เม็กซิโก” เพื่อป้องกันคนต่างด้าวหนีเข้ามาในเมืองของพวกเขาไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยมีงบประมาณรายจ่ายของประเทศเป็นตัวประกัน
นี่คือความอหังการของชายที่เรียกได้ว่า น่าจะมีอำนาจมากที่สุดในโลกคนหนึ่งในตอนนี้ก็ว่าได้ แม้ทุกอย่างจะมีราคาที่ต้องจ่ายก็ตาม เมื่อมีการเรียกร้องจากกลุ่มสมาชิกรัฐสภาของอิหร่าน ในระหว่างพิธีศพของ “นายพลกาเซ็ม โซไลมานี” เพื่อขอให้พลเมืองชาวอิหร่าน 80 ล้านคน ช่วยกันบริจาคเงินคนละ 1 ดอลลาร์ เพื่อให้ได้ครบ 80 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,400 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าหัวสำหรับใครก็ตามที่สามารถจับตัวประธานาธิบดี“โดนัลด์ ทรัมป์” ไม่ว่าเป็นหรือตายและล่าสุดทางการอิหร่านก็ได้ยิงขีปนาวุธมากกว่า 10 ลูก เข้าใส่ที่มั่นทางทหารของกองกำลังสหรัฐฯ และกองกำลังผสมในอิรักไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการประเมินผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ท้ายที่สุด แม้ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้สื่อสารออกมาว่า เขาแค่เพียงต้องการหยุดสงคราม แต่ตอนนี้ความเสียหายทุกอย่างมันไปไกลจนยากเกินจะเยียวยาเสียแล้ว และอาจเลวร้ายถึงขั้นก่อสงครามเสียเองก็มีความเป็นไปได้ แม้จะมีคนพยายามมองการกระทำของเขาไปในมุมที่เป็นบวกก็ตาม เนื่องจากมีการเปิดเผยว่า ราคาน้ำมันและทองคำที่สูงขึ้น (จากความสงบสุขของโลกที่ถูกทำลาย) เป็นอานิสงส์ที่ทำให้สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นรายใหญ่ในการกักตุนทั้งสองสิ่งนี้ (มากที่สุดในโลก) จะทำเงินได้มากมาย รวมไปถึงกิจการค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย และสร้างรายได้มหาศาลอยู่แล้ว จะเพิ่มมูลค่ามากขึ้นไปอีก ถ้าสงครามโลกครั้งที่สามระอุขึ้นมา
กระนั้น ไม่ว่าความตั้งใจของ“โดนัลด์ ทรัมป์” จะออกมาในทิศทางใดไม่ว่าจะเป็น เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองและการค้า หรือว่าเป็นความอำมหิตในจิตใจ แต่การเริ่มต้นด้วยความตาย และการใช้อำนาจที่ร้ายกาจเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่ตัวเขาเอง และพลเมืองในประเทศของเขาเป็นแน่ นี่แหละคือบทเรียนขนานแท้ของผู้นำที่พ่ายแพ้แก่อำนาจในมือ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี