ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาทางการแพทย์ประเด็นเรื่อง “สื่อสาส์นกัญชา: สมาคมแพทย์” พร้อมหน่วยงานสมาคมแพทย์ฯ รวมตัวกันเรียกร้องต้านการใช้สารสกัดจากกัญชา โดยมีเหตุผลให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมชาย เอี่ยมอ่อง ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การใช้กัญชาทางการแพทย์ ยังเป็นที่ถกเถียงในทางการรักษาของประเทศไทยตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย จึงร่วมกับสมาคมแพทย์วิชาชีพในแขนงต่าง ๆ มาร่วม “สื่อสาส์นกัญชา: สมาคมแพทย์” เพื่อให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เอกภพ สิระชัยนันท์ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง รวมถึงยาที่ใช้ป้องกันรักษาผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง มีประสิทธิภาพสูงแต่สารสกัดจากกัญชาที่ใช้ศึกษาในต่างประเทศ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะสนับสนุนการใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ดังนั้น การเริ่มใช้สารสกัดจากกัญชา อาจเริ่มได้ต่อเมื่อได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า ไม่สามารถให้การรักษาที่จำเพาะต่อโรค ที่จะช่วยบรรเทาอาการให้กับผู้ป่วยได้ และใช้ยาแผนปัจจุบันในการบรรเทาอาการเต็มที่แล้วไม่ได้ผล ส่วนในเรื่องอาการปวดจากมะเร็ง พิจารณาเป็นการรักษาเสริมกับยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน เมื่อได้รับยากลุ่มโอปิออยด์ในขนาดสูงแล้วยังควบคุมอาการปวดไม่ได้ ส่วนการใช้สารสกัดจากกัญชากับการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับและการทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น พบว่า ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพสำหรับการใช้สารสกัดจากกัญชาในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ไม่แนะนำให้เป็นการรักษาจำเพาะสำหรับโรคมะเร็งที่มีแนวทางการรักษามาตรฐานอยู่แล้ว เนื่องจากการศึกษาในมนุษย์ยังไม่แสดงประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมะเร็งชัดเจน และการศึกษาส่วนใหญ่ยังทำในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง และปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าการใช้กัญชาสามารถนำมาใช้ต้านโรคมะเร็ง มีแค่หลักฐานที่จำกัดว่ากัญชามีฤทธิ์บรรเทาความเจ็บปวดหรือลดการคลื่นไส้อาเจียนได้ เมื่อเปรียบเทียบกับยาขนานเก่าที่ไม่ใช่มาตรฐานในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ข้อควรพิจารณาเนื่องจากสารสกัดจากการกัญชายังขาดข้อมูลด้านเภสัชวิทยาในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจริง จึงทำให้การใช้ยาในทางปฏิบัติมีข้อจำกัดและความเสี่ยง ดังต่อไปนี้ 1.สารสกัดจากกัญชามีผลข้างเคียงสูง โดยเฉพาะมีผลต่อความสามารถในด้านการรับรู้และการตัดสินใจ (cognitive function) 2.ยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับขนาดยาที่เหมาะสมต่อการรักษาตามข้อบ่งชี้ดังกล่าวและความเป็นพิษของยา นอกเหนือจากนั้น อายุรแพทย์โรคมะเร็งส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้ และไม่มั่นใจในความปลอดภัยของยาดังกล่าวในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และ 3.มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย มีความกังวลในการนำสารสกัดจากกัญชา ไปใช้ผิดข้อบ่งชี้ (drug abuse) เนื่องจากยากต่อการควบคุมในการใช้
ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิชัย อิทธิชัยกุลฑล กรรมการบริหารสมาคมการศึกษาเรื่องความเจ็บปวดแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการนำสารสกัดจากกัญชาทางการแพทย์มาใช้เพื่อระงับปวด ว่าการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อระงับปวดจากมะเร็ง ในปัจจุบันมีหลักฐานการวิจัยอยู่ในระดับดีเล็กน้อยถึงปานกลาง แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากกัญชาบางชนิดมีผลระงับปวดจากมะเร็งดีกว่ายาหลอก แต่ไม่เหนือกว่ายาระงบปวดจากมะเร็งกลุ่มโอปิออยด์ และพบผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นตามปริมาณของสารสกัดจากกัญชาที่ใช้
การใช้สารสกัดจากกัญชาในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองเพื่อควบคุมอาการจากโรคมะเร็งอยู่ในระดับต่ำ โดยพบว่าการใช้สารสกัดจากกัญชาทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความอยากอาหารและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่ให้ผลไม่แตกต่างจากยาหลอกในด้านการนอนหลับ อารมณ์เศร้าและคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งแพทย์และผู้ป่วยควรตระหนักถึงผลข้างเคียงจากการใช้สารสกัดจากกัญชาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มึนศีรษะ ง่วงซึม สับสน ซึ่งอาการเหล่านี้อาจกระทบต่อเป้าหมายของการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองหรือลดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้
ส่วนการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดจากความผิดปกติของเส้นประสาท ปัจจุบันยังขาดหลักฐานอย่างเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากกัญชามีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดจากความผิดปกติของเส้นประสาทได้ดีกว่าการรักษาตามมาตรฐาน แต่พบว่าสารสกัดจากกัญชาทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงสูงกว่า จึงไม่แนะนำให้ใช้สารสกัดจากกัญชาทดแทนการรักษาตามมาตรฐาน
ทั้งนี้ การใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีการศึกษาจำนวนน้อยที่ใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อรักษาโรคปวดศีรษะในมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันหลักฐานเชิงประจักษ์ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสารสกัดจากกัญชาว่าสามารถลดความรุนแรงหรือความถี่ของอาการปวดศีรษะได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อรักษาโรคปวดศีรษะ
ขณะที่การใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดจากโรคปลอกประสาทระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดจากโรคมัลติเพิลสเตอโรซีส หรือ เอ็มเอส มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการนำสารสกัดจากกัญชามาใช้เพื่อลดอาการเกร็งและอาการปวดจากโรคปลอกประสาทระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดจากโรคเอ็มเอส แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นการรักษาเบื้องต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำและการรักษาด้วยวิธีอื่น ทั้งการรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือใช้ยารักษาตามมาตรฐานก่อน หากไม่ได้ผลหรือเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา จนไม่สามารถใช้ยาดังกล่าวได้ จึงจะพิจารณาใช้สารสกัดจากกัญชา โดยต้องมีการประเมินผู้ป่วยอย่างละเอียดรอบคอบและให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ป่วยและ/หรือญาติก่อนการใช้สารสกัดจากการกัญชา และเฝ้าติดตามอาการเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดเรื้อรังจากกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยภาวะปวดที่มีสาเหตุจากระบบข้อต่อ กระดูกและเอ็น ส่วนใหญ่มักตอบสนองต่อการรักษาตามแนวทางเวชปฏิบัติเฉพาะโรค เช่น เข่าเสื่อม ไหล่ติด อย่างไรก็ตามมีกลุ่มโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ซึ่งผู้ป่วยไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาตามแนวทางการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากการทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ข้อสรุปที่ไม่แน่ชัดถึงประโยชน์ของสารสกัดจากกัญชาในการระงับปวดเมื่อเปรียบเทียบกับอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มโรคนี้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องติดตามหลักฐานเชิงประจักษ์ต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ การใช้สารสกัดจากกัญชาต้องระวังการเกิดปฏิกริยาระหว่างยากับยาแก้ปวดตัวอื่นที่ผู้ป่วยใช้ด้วย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์โอภาส พุทธเจริญ กรรมการบริหารสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่อง “กัญชากับการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี” นั้น 1.กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ปัจจุบันมีการใช้กัญชามากขึ้นเนื่องจากมีการเปิดโอกาสผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ ให้เข้าถึงการใช้กัญชาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาจึงมีบทบาทเพิ่มขึ้นในหลายๆโรค ในขณะเดียวกันผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและผู้ดูแลรักษาคนกลุ่มนี้ในประเทศไทยควรต้องทราบข้อควรระวังในการใช้กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี 2.ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เนื่องจากในปัจจุบันการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีมีชีวิตได้นานขึ้นใกล้เคียงหรือเท่าคนปกติและไม่แพร่กระจายเชื้อ ถึงแม้ว่ามีการศึกษาพบว่ากัญชาลดการอักเสบในร่างกายและอาจลดปริมาณไวรัสได้เร็วในผู้ที่กำลังรักษาด้วยยาต้านไวรัส แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีด้วยกัญชาทำให้ระดับไวรัสต่ำได้นาน ระดับภูมิคุ้มกันหรือซีดีสี่สูงขึ้นและชีวิตผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวียืนยาวมากขึ้นเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยยาต้านมาตรฐาน
ดังนั้น ในปัจจุบันการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด หากใช้กัญชาร่วมกับยาต้านไวรัสที่ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีกำลังได้รับอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้ระดับยาต้านบางตัวลดลงอย่างมาก เช่น ยากลุ่ม protease inhibitor บางตัว จนอาจทำให้การรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้ผล นอกจากนี้กัญชาอาจทำให้อาการทางระบบประสาทมากขึ้นในผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัสบางชนิด และมีการศึกษาที่พบว่าผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีหากสูดกัญชาทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ปอดได้มากขึ้น 3.คำแนะนำเกี่ยวกับบทบาทของกัญชาในการใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ควรใช้อาการรักษาแบบประคับประคองเฉพาะในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีระยะสุดท้ายหรือมีโรคร่วมอื่นที่จะได้ประโยชน์จากกัญชาเท่านั้น เช่น ช่วยเรื่องการลดอาการปวด อาการวิตกกังวล อาการเบื่ออาหาร ในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่เป็นโรคมะเร็งร่วมด้วย และควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากกัญชาอาจมีผลต่อระดับยาต้านไวรัสที่ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีกำลังได้รับอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยกลุ่มนี้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสก็ยังมีประโยชน์มากกว่าและต้องรอข้อมูลการศึกษาของประสิทธิภาพและผลข้างเคียงระยะยาวในการใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี ในขณะนี้แนะนำให้เลี่ยงการใช้กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ในรายที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านอยู่แล้วไม่ควรหยุดยาต้านไวรัสเพื่อไปใช้กัญชาอย่างเด็ดขาด