วันเสาร์ ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2566
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ผู้หญิง
‘สื่อสาส์นกัญชา: สมาคมแพทย์’ แนะแนวทางเลือกใช้กัญชา

‘สื่อสาส์นกัญชา: สมาคมแพทย์’ แนะแนวทางเลือกใช้กัญชา

วันอังคาร ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563, 06.00 น.
Tag : กัญชา สมาคมแพทย์
  •  

 

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาทางการแพทย์ประเด็นเรื่อง “สื่อสาส์นกัญชา: สมาคมแพทย์” พร้อมหน่วยงานสมาคมแพทย์ฯ รวมตัวกันเรียกร้องต้านการใช้สารสกัดจากกัญชา โดยมีเหตุผลให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจมากยิ่งขึ้น


ศาสตราจารย์ นายแพทย์สมชาย  เอี่ยมอ่อง ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การใช้กัญชาทางการแพทย์ ยังเป็นที่ถกเถียงในทางการรักษาของประเทศไทยตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย จึงร่วมกับสมาคมแพทย์วิชาชีพในแขนงต่าง ๆ มาร่วม “สื่อสาส์นกัญชา: สมาคมแพทย์” เพื่อให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจมากยิ่งขึ้น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เอกภพ  สิระชัยนันท์ นายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยาแผนปัจจุบันที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง รวมถึงยาที่ใช้ป้องกันรักษาผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง มีประสิทธิภาพสูงแต่สารสกัดจากกัญชาที่ใช้ศึกษาในต่างประเทศ ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะสนับสนุนการใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง  ดังนั้น การเริ่มใช้สารสกัดจากกัญชา อาจเริ่มได้ต่อเมื่อได้รับการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า ไม่สามารถให้การรักษาที่จำเพาะต่อโรค ที่จะช่วยบรรเทาอาการให้กับผู้ป่วยได้ และใช้ยาแผนปัจจุบันในการบรรเทาอาการเต็มที่แล้วไม่ได้ผล  ส่วนในเรื่องอาการปวดจากมะเร็ง พิจารณาเป็นการรักษาเสริมกับยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน เมื่อได้รับยากลุ่มโอปิออยด์ในขนาดสูงแล้วยังควบคุมอาการปวดไม่ได้ ส่วนการใช้สารสกัดจากกัญชากับการรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับและการทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น พบว่า ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพสำหรับการใช้สารสกัดจากกัญชาในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ไม่แนะนำให้เป็นการรักษาจำเพาะสำหรับโรคมะเร็งที่มีแนวทางการรักษามาตรฐานอยู่แล้ว เนื่องจากการศึกษาในมนุษย์ยังไม่แสดงประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมะเร็งชัดเจน และการศึกษาส่วนใหญ่ยังทำในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง และปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่าการใช้กัญชาสามารถนำมาใช้ต้านโรคมะเร็ง มีแค่หลักฐานที่จำกัดว่ากัญชามีฤทธิ์บรรเทาความเจ็บปวดหรือลดการคลื่นไส้อาเจียนได้ เมื่อเปรียบเทียบกับยาขนานเก่าที่ไม่ใช่มาตรฐานในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ข้อควรพิจารณาเนื่องจากสารสกัดจากการกัญชายังขาดข้อมูลด้านเภสัชวิทยาในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจริง จึงทำให้การใช้ยาในทางปฏิบัติมีข้อจำกัดและความเสี่ยง ดังต่อไปนี้ 1.สารสกัดจากกัญชามีผลข้างเคียงสูง โดยเฉพาะมีผลต่อความสามารถในด้านการรับรู้และการตัดสินใจ (cognitive function)  2.ยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับขนาดยาที่เหมาะสมต่อการรักษาตามข้อบ่งชี้ดังกล่าวและความเป็นพิษของยา นอกเหนือจากนั้น อายุรแพทย์โรคมะเร็งส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้ และไม่มั่นใจในความปลอดภัยของยาดังกล่าวในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และ 3.มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย มีความกังวลในการนำสารสกัดจากกัญชา ไปใช้ผิดข้อบ่งชี้ (drug abuse) เนื่องจากยากต่อการควบคุมในการใช้

ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิชัย  อิทธิชัยกุลฑล กรรมการบริหารสมาคมการศึกษาเรื่องความเจ็บปวดแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อการนำสารสกัดจากกัญชาทางการแพทย์มาใช้เพื่อระงับปวด ว่าการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อระงับปวดจากมะเร็ง ในปัจจุบันมีหลักฐานการวิจัยอยู่ในระดับดีเล็กน้อยถึงปานกลาง แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากกัญชาบางชนิดมีผลระงับปวดจากมะเร็งดีกว่ายาหลอก แต่ไม่เหนือกว่ายาระงบปวดจากมะเร็งกลุ่มโอปิออยด์ และพบผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นตามปริมาณของสารสกัดจากกัญชาที่ใช้

การใช้สารสกัดจากกัญชาในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองเพื่อควบคุมอาการจากโรคมะเร็งอยู่ในระดับต่ำ โดยพบว่าการใช้สารสกัดจากกัญชาทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความอยากอาหารและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่ให้ผลไม่แตกต่างจากยาหลอกในด้านการนอนหลับ อารมณ์เศร้าและคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งแพทย์และผู้ป่วยควรตระหนักถึงผลข้างเคียงจากการใช้สารสกัดจากกัญชาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มึนศีรษะ ง่วงซึม สับสน  ซึ่งอาการเหล่านี้อาจกระทบต่อเป้าหมายของการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองหรือลดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้

ส่วนการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดจากความผิดปกติของเส้นประสาท ปัจจุบันยังขาดหลักฐานอย่างเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากกัญชามีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดจากความผิดปกติของเส้นประสาทได้ดีกว่าการรักษาตามมาตรฐาน แต่พบว่าสารสกัดจากกัญชาทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงสูงกว่า จึงไม่แนะนำให้ใช้สารสกัดจากกัญชาทดแทนการรักษาตามมาตรฐาน

ทั้งนี้ การใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีการศึกษาจำนวนน้อยที่ใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อรักษาโรคปวดศีรษะในมนุษย์ ซึ่งในปัจจุบันหลักฐานเชิงประจักษ์ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของสารสกัดจากกัญชาว่าสามารถลดความรุนแรงหรือความถี่ของอาการปวดศีรษะได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อรักษาโรคปวดศีรษะ

ขณะที่การใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดจากโรคปลอกประสาทระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดจากโรคมัลติเพิลสเตอโรซีส หรือ เอ็มเอส  มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการนำสารสกัดจากกัญชามาใช้เพื่อลดอาการเกร็งและอาการปวดจากโรคปลอกประสาทระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดจากโรคเอ็มเอส แต่ไม่แนะนำให้ใช้เป็นการรักษาเบื้องต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำและการรักษาด้วยวิธีอื่น ทั้งการรักษาโดยไม่ใช้ยาหรือใช้ยารักษาตามมาตรฐานก่อน หากไม่ได้ผลหรือเกิดผลข้างเคียงจากการรักษา จนไม่สามารถใช้ยาดังกล่าวได้ จึงจะพิจารณาใช้สารสกัดจากกัญชา  โดยต้องมีการประเมินผู้ป่วยอย่างละเอียดรอบคอบและให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ป่วยและ/หรือญาติก่อนการใช้สารสกัดจากการกัญชา และเฝ้าติดตามอาการเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ 

สำหรับการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อลดอาการปวดเรื้อรังจากกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยภาวะปวดที่มีสาเหตุจากระบบข้อต่อ กระดูกและเอ็น ส่วนใหญ่มักตอบสนองต่อการรักษาตามแนวทางเวชปฏิบัติเฉพาะโรค  เช่น เข่าเสื่อม ไหล่ติด อย่างไรก็ตามมีกลุ่มโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ซึ่งผู้ป่วยไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาตามแนวทางการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน จากการทบทวนหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ข้อสรุปที่ไม่แน่ชัดถึงประโยชน์ของสารสกัดจากกัญชาในการระงับปวดเมื่อเปรียบเทียบกับอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มโรคนี้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องติดตามหลักฐานเชิงประจักษ์ต่อไปในอนาคต  นอกจากนี้ การใช้สารสกัดจากกัญชาต้องระวังการเกิดปฏิกริยาระหว่างยากับยาแก้ปวดตัวอื่นที่ผู้ป่วยใช้ด้วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์โอภาส  พุทธเจริญ กรรมการบริหารสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่อง “กัญชากับการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี” นั้น 1.กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ปัจจุบันมีการใช้กัญชามากขึ้นเนื่องจากมีการเปิดโอกาสผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ  ให้เข้าถึงการใช้กัญชาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาจึงมีบทบาทเพิ่มขึ้นในหลายๆโรค ในขณะเดียวกันผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและผู้ดูแลรักษาคนกลุ่มนี้ในประเทศไทยควรต้องทราบข้อควรระวังในการใช้กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี   2.ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เนื่องจากในปัจจุบันการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ  ทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีมีชีวิตได้นานขึ้นใกล้เคียงหรือเท่าคนปกติและไม่แพร่กระจายเชื้อ ถึงแม้ว่ามีการศึกษาพบว่ากัญชาลดการอักเสบในร่างกายและอาจลดปริมาณไวรัสได้เร็วในผู้ที่กำลังรักษาด้วยยาต้านไวรัส  แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีด้วยกัญชาทำให้ระดับไวรัสต่ำได้นาน ระดับภูมิคุ้มกันหรือซีดีสี่สูงขึ้นและชีวิตผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวียืนยาวมากขึ้นเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยยาต้านมาตรฐาน

ดังนั้น ในปัจจุบันการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด หากใช้กัญชาร่วมกับยาต้านไวรัสที่ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีกำลังได้รับอยู่ ซึ่งอาจจะทำให้ระดับยาต้านบางตัวลดลงอย่างมาก  เช่น ยากลุ่ม protease inhibitor บางตัว จนอาจทำให้การรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้ผล  นอกจากนี้กัญชาอาจทำให้อาการทางระบบประสาทมากขึ้นในผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัสบางชนิด และมีการศึกษาที่พบว่าผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีหากสูดกัญชาทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ปอดได้มากขึ้น 3.คำแนะนำเกี่ยวกับบทบาทของกัญชาในการใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ควรใช้อาการรักษาแบบประคับประคองเฉพาะในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีระยะสุดท้ายหรือมีโรคร่วมอื่นที่จะได้ประโยชน์จากกัญชาเท่านั้น เช่น ช่วยเรื่องการลดอาการปวด อาการวิตกกังวล อาการเบื่ออาหาร ในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่เป็นโรคมะเร็งร่วมด้วย และควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากกัญชาอาจมีผลต่อระดับยาต้านไวรัสที่ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีกำลังได้รับอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยกลุ่มนี้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสก็ยังมีประโยชน์มากกว่าและต้องรอข้อมูลการศึกษาของประสิทธิภาพและผลข้างเคียงระยะยาวในการใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคติดเชื้อเอชไอวี ในขณะนี้แนะนำให้เลี่ยงการใช้กัญชาในผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ในรายที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านอยู่แล้วไม่ควรหยุดยาต้านไวรัสเพื่อไปใช้กัญชาอย่างเด็ดขาด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ผู้ว่าฯ ททท. เปิดงาน \'มากินกัญ\' ช้อป ชิม ชิลล์ เมนูเด็ดผลิตภัณฑ์เด่นจากกัญชา ผู้ว่าฯ ททท. เปิดงาน 'มากินกัญ' ช้อป ชิม ชิลล์ เมนูเด็ดผลิตภัณฑ์เด่นจากกัญชา
  •  

Breaking News

เผยสนามแข่งฟุตบอลช้างเอฟเอคัพรอบตัดเชือก

'นอท กองสลากพลัส'บุกหาเสียงตรัง จุดประทัดแสนนัด ลั่นสังคมไทยเลิกตอแหล

เตือนภัย! 4โจ๋ปทุมฯย่องเบาลักทรัพย์ในร้านคาร์แคร์

ให้ออกจากราชการ 3 ตร.กาฬสินธุ์รีดเงินคดียาบ้าครึ่งล้าน อีก 8 นายรอผู้เสียหายชี้ตัว

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายประพันธ์ สุขทะใจ ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved