วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ทุกงานที่ผมทำ ผมตั้งใจทำอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉพาะงานที่ทำให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศล ผมไม่ได้คิดถึงกำไรเป็นที่ตั้ง แต่ผมตั้งใจทำงานเพื่อใครบางคนที่ผมอยากจะทำให้ ผมสบายใจที่ได้ทำงานที่รัก และพอใจที่จะทำงานนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะมีความสามารถทำได้ ผมฝันว่าจะมีงานของตัวเองไปตั้งไว้ที่วาติกัน หรือที่สำคัญๆของอิตาลี
แนวหน้าวาไรตี้สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัยพาคุณไปสนทนากับ คุณนที เกวลกุล ประติมากรผู้สรรค์สร้างงานแกะสลักหินอ่อนที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยในยุคนี้ พร้อมกับชมความมหัศจรรย์ของงานแกะสลักหินอ่อนที่ทำให้ก้อนหินดูเสมือนสิ่งมีชีวิตจริง
l คุณนทีเรียนวิชาแกะสลักหินอ่อนจากที่ไหนครับ จากประเทศไทยหรือจากต่างประเทศ
ผมจบปริญญาตรีจากคณะจิตรกรรมประติมากรรมมหาวิทยาลัยศิลปากรครับ ตอนเรียนที่ศิลปากรนั้นไม่เคยมีโอกาสแกะสลักหินอ่อนครับ เพราะไม่มีวัตถุดิบชนิดนี้ให้นักศึกษาได้ใช้แกะสลัก ส่วนมากแล้วเราใช้หินทรายเป็นหลักครับ เมื่อผมเรียนจบจากศิลปากรแล้ว ผมก็ตัดสินใจไปหาความรู้ต่อที่ประเทศอิตาลี เพราะผมสนใจงานแกะสลักหินอ่อน จึงต้องไปยังจุดที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของการแกะสลักหินอ่อนแห่งหนึ่งของโลก
.jpg)
l สาเหตุที่ไม่ใช้หินอ่อนในการเรียนสมัยปริญญาตรี เป็นเพราะอะไรครับ
สาเหตุแรกคือหินอ่อนมันแพงมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษา นักศึกษาอย่างผมไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อหินอ่อนมาทำงานได้อย่างแน่นอน และประการต่อมาคือเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับแกะสลักหินอ่อนในยุคที่ผมเรียนก็เกือบจะหาไม่ได้ ส่วนที่พอจะมีใช้ในคณะก็ไม่เหมาะกับการแกะสลักหินอ่อน ดังนั้นนักศึกษาในยุคผมก็ต้องใช้วัสดุที่คณะมีไว้ให้ ซึ่งส่วนมากก็คือหินทราย
l อะไรคือแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้สนใจแกะสลักหินอ่อน ทั้งๆ ที่ตอนที่อยู่ในคณะฯ ก็ไม่ได้จับงานหินอ่อนมาก่อน
จริงๆ แล้วผมสนใจงานหินอ่อนมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วครับ แต่เมื่อมันไม่มีหินอ่อนให้ใช้แกะสลัก ก็ต้องเริ่มต้นจากแกะสลักหินทรายก่อน สาเหตุที่ผมชอบงานหินอ่อนก็เพราะว่าผมได้ดูภาพงานแกะสลักหินอ่อนระดับโลกจากหนังสือในห้องสมุด ดูแล้วก็ยิ่งชอบมาก โดยเฉพาะงานแกะสลักหินอ่อนจากศิลปินสมัยก่อนของยุโรป เมื่อเห็นภาพแล้วชอบ ผมก็อยากแกะสลักให้ได้บ้าง จริง ๆ แล้วในช่วงที่เรียนที่ศิลปากรนั้น ผมเคยทำงานหล่อด้วย แต่เมื่อทำไปแล้วความรู้สึกของตัวเองบอกตลอดเวลาว่า ผมชอบงานหินอ่อนมากกว่า เมื่อรู้ตัวว่าชอบก็จึงพยายามหาความรู้และทุ่มเท
กับมันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมคงได้แรงบันดาลใจมาจากภาพสวยๆ ในหนังสือนะครับ และก็ฝันว่าวันหนึ่งจะมีงานแกะสลักหินอ่อนของผมไปตั้งแสดงอยู่ในวาติกัน หรือในกรุงโรม

l เมื่อจบการศึกษาจากศิลปากรแล้ว ไปเรียนต่อด้านแกะสลักหินอ่อนที่ไหนครับ
ผมไปที่เมืองคาร์รารา (Carrara) แคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี เมืองนี้อยู่ตอนกลางของอิตาลี ไปอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 8 ปี ผมไปเรียนรู้งานในสตูดิโอที่เขาเน้นงานแกะสลักหินอ่อน คือจริง ๆ ไม่ได้เรียนหนังสือแต่ไปเพื่อเรียนรู้การทำงานด้านการแกะสลักอย่างจริงๆ จังๆ พยายามเรียนรู้เรื่องการแกะสลักหินอ่อนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็เลยอยู่ไป 8 ปี ผมไปเรียนที่ Accademia di Belle Arti di Carrara และทำงานที่สตูดิโอ Studi d’arte di Cave Michelangelo และ Marble Studio Stagetti
l คุณนทีเลือกเมืองคาร์รารา ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อมากที่สุดด้านความงามของหินอ่อนเลยนะครับ แสดงว่าต้องการไปยังเมืองที่เป็นศูนย์กลางของการแกะสลักหินอ่อนที่โลกให้ความสำคัญมากที่สุด
ครับ และหินอ่อนจากคาร์ราราก็ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพเนื้อหินที่ดีที่สุดในโลก เหมาะกับการแกะสลักงานที่แสดงถึงความอ่อนช้อย มีชีวิต ดูเสมือนมีเลือดมีเนื้อจริงๆ 8 ปีที่ผมอยู่ที่นั่น ผมพยายามเรียนรู้เรื่องการแกะสลักหินอ่อนในทุกๆ ด้าน

l แสดงว่า ตั้งใจเรียนรู้ให้นานกว่าระยะเวลาเรียนจริงๆ ตามที่หลักสูตรกำหนดใช่ไหมครับ
ก็อาจจะบอกแบบนั้นได้ครับ เพราะจริงๆ แล้ว ตามหลักสูตรธรรมดาก็เป็นแค่วิชาเลือกที่เรียนตามระยะเวลาก็จบแล้ว แต่ที่ผมบอกว่าพยายามอยู่ที่นั่นให้นานที่สุด ก็คือเหมือนกับว่าเราลงหน่วยกิตเรียนน้อยๆ ในหนึ่งปีการศึกษาเพื่อที่เราจะได้ยืดระยะเวลาเรียนให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้แต่ที่เราเรียนได้รู้จริงๆ คือเรียนรู้จากสตูดิโอที่ทำงานจริง ซึ่งไม่ใช่ในห้องเรียนของมหาวิทยาลัย
l ในเมืองไทยตอนนี้ เช่นที่ศิลปากร หรือที่อื่นๆ เช่น วิทยาลัยช่างศิลป์ หรือสถาบันอื่นๆ ที่สอนด้านประติมากรรม มีที่ไหนที่สอนแกะสลักหินอ่อนบ้างไหมครับ
เท่าที่ผมทราบนะครับ ที่ศิลปากร และที่ลาดกระบังนั้นมีวิชาแกะสลักหินอ่อนอยู่บ้าง ส่วนสถาบันการศึกษาอื่นนั้นเท่าที่ทราบยังไม่มีครับ แต่เท่าที่มีอยู่ก็เป็นเพียงวิชาพื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น ไม่มีการเรียนการสอนเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ
l เปรียบเทียบความยากง่ายการแกะสลักหินอ่อนกับหินทราย อะไรยากง่ายกว่ากันครับ
แกะสลักหินทรายง่ายกว่ามากเลยครับ
l สาเหตุเพราะว่า เนื่องจากความหนาแน่น ความแข็งของเนื้อหินใช่ไหมครับ
ครับ เนื้อของทรายนุ่มกว่าเนื้อหินอ่อน ส่วนเนื้อหินที่แข็งที่สุดคือหินแกรนิต แล้วก็เนื้อหินจำพวกควอต แล้วก็ไล่ไปตามสเกลความแข็งของเนื้อหินชนิดต่างๆ

l ขอถามในฐานะประติมากร วัสดุชิ้นไหนที่แกะสลักออกมาแล้วงดงามมากที่สุด อย่างเช่น พระรูปของสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ที่คุณนทีกำลังแกะสลักอยู่นี้ ถ้าทำจากหินทราย หรือหินแกรนิต กับทำจากหินอ่อน หรือหินชนิดอื่นๆ ความงดงาม ความเหมือนจริง ที่ดูแล้วเหมือนมนุษย์จริงๆหินชนิดไหนจะเหมือนคนจริงมากกว่ากัน
หินอ่อนชนะอย่างแน่นอนครับ ชนะทุกหินที่กล่าวมาทั้งหมด
l สาเหตุเพราะอะไรครับ
คือเราต้องดูลักษณะทางกายภาพของตัววัสดุที่นำมาใช้ก่อน สมมุติถ้าเป็นหินทราย เนื้อมันจะร่วนๆหยาบๆ เพราะฉะนั้นการใส่รายละเอียดลงไปบนเนื้อหินจะต่างกันมาก อย่างที่เราเห็นอยู่นี้คือ รายละเอียดของคอเสื้อ(ฉลองพระองค์) ที่ทำจากผ้าลูกไม้ การจะแกะสลักให้ออกมาเสมือนจริง เหมือนกับเราเห็นผ้าลูกไม้จริงๆ นั้น เราต้องทำบนหินอ่อนเนื้อดีเท่านั้น ถ้าเป็นหินชนิดอื่นแล้ว ไม่สามารถทำรายละเอียดเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับเนื้อของหินทราย ถึงแม้อาจจะพอทำได้ แต่ก็ไม่สามารถให้รายละเอียดได้มากเท่ากับเนื้อของหินอ่อน แล้วถ้ายิ่งเป็นรายละเอียดอื่นๆ เช่น ผิวหนัง รอยย่นบนพระพักตร์ เป็นต้น ยิ่งทำได้ยากมาก หรือทำไม่ได้เลย คือไม่สามารถใส่รายละเอียดได้อย่างเด็ดขาด เพราะเนื้อหินทรายจะคล้ายๆ กับน้ำตาลทรายก้อนที่เราใส่กาแฟ มันจะร่วนๆ ไม่สามารถแต่งขอบให้คมชัดได้มาก เพราะยิ่งขัดเพื่อจะให้คมก็จะยิ่งแตก เพราะเนื้อหินทรายเกาะกันแบบหลวมๆ เท่านั้นความแน่นไม่เหมือนกับหินอ่อน อย่างพระรูปองค์นี้ของสมเด็จย่า ผมขออนุญาตใช้คำธรรมดานะครับ เสื้อ หรือฉลองพระองค์จะมีรอยจีบ มีรอยของเนื้อผ้าที่ดูเสมือนรอยจีบ รอยยับ นี่คือรายละเอียดที่ปรากฏบนหินอ่อนได้เป็นอย่างดี หินอ่อนจากคาร์ราราถูกยอมรับว่าดีที่สุดในโลก เหมาะกับการแกะสลักในงานที่ต้องการให้ผลงานออกมาดูเสมือนสิ่งมีชีวิตจริง เพราะเนื้อหินละเอียดพอเหมาะผลึกคริสตัลเป็นผงเล็กมาก อัดตัวแน่น ไม่ร่วน
.jpg)
l ผมมีคำถามว่า เวลาเราได้ดูงานแกะสลักหินอ่อนระดับโลก เช่น รูปแกะสลักเดวิด ของไมเคิลแองเจโล หรืองานประติมากรรมรูปผู้หญิงที่ดูเสมือนเปลือยกาย แต่ดูเสมือนมีผ้าบางๆ ห่มคลุมตัวไว้ แล้วเห็นริ้วของผ้า หรือเห็นเส้นเลือดที่มือของเดวิด งานระดับโลกแบบนั้นเขาทำได้อย่างไรครับ เพราะดูเสมือนจริงมาก ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากพระรูปของสมเด็จย่าที่คุณนทีกำลังแกะสลักอยู่นี้
ตอบได้ว่า ต้องย้อนไปดูก่อนเป็นอันดับแรกว่าคนทำหรือประติมากรต้องการนำเสนออะไรให้ปรากฏเขาต้องการสื่ออะไรกับคนดู เช่น รูปแกะสลักผู้หญิงที่ดูเสมือนมีผ้าบางๆ คลุมตัวนั้น ถ้าเขาต้องการโชว์สรีระของผู้หญิง โชว์ทรวดทรง เขาก็ต้องเน้นเรื่องกายวิภาคศาสตร์(Anatomy) เพราะเขาเห็นว่าสรีระของผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามมีความงดงามตามธรรมชาติ เขาจึงพยายามเน้นเรื่องสรีระ ส่วนผ้าบางๆ พลิ้วๆ ที่คลุมร่างกายนั้นเป็นการเพิ่มเส้นสายลูกเล่นมากกว่า เพื่อให้เกิด composition ของงานแต่ละชิ้นให้ออกมางดงามสมบูรณ์ แต่ต้องไม่ลืมว่าเขาต้องการโชว์สรีระของรูปปั้นมากที่สุด เขาต้องการโชว์สรีระที่อยู่ใต้ผ้าบางๆ นั้นมากกว่า เพราะฉะนั้น เขาต้องทำให้ผ้าดูเสมือนบางมากที่สุด แต่สำหรับพระรูปของสมเด็จย่าที่ผมกำลังทำนี้ ผมต้องการสื่อสารในเรื่องราวของความเสมือนจริงที่แสดงให้เห็นพระราชอิริยาบถแบบสบายๆ ของพระองค์ท่าน ต้องการให้เห็นความ relax โดยทรงฉลองพระองค์แบบที่พระองค์ทรงนิยม โดยเฉพาะในเรื่องของความสบายๆ และเรียบง่าย ฉลองพระองค์นี้มีจริงๆ ผมจึงต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เป็นจริงให้ตรงกับความจริงให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นการทำให้ผ้าให้เป็นริ้ว เป็นจีบ ให้ดูเหมือนเนื้อผ้าจริงๆ ที่พระองค์ท่านทรงสวมใส่ นี่คือสิ่งที่ผมต้องการสื่อสารครับ
l พระรูปองค์นี้ดูแล้วเสมือนพระองค์จริงมากครับ แม้กระทั่งพระพักตร์ที่ทรงพระสรวล เส้นพระเกศาและพระกรของพระองค์ท่าน ขอเรียนถามว่าพระรูปองค์นี้ถือว่าเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วหรือยังครับ
เฉพาะองค์พระรูปนั้นถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์จริงๆ จะต้องเป็นมีอีกส่วนหนึ่งมาประกอบด้วยคือ หินก้อนที่มีพวงมาลัยวางอยู่ข้างบนและหินอีกก้อนหนึ่งอยู่ข้างพระรูปคือมีองค์ประกอบอีกสองข้างของพระรูป แล้วเมื่อเรานำไปประดิษฐานที่มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ อยู่ใกล้กับศูนย์แพทย์พัฒนา ถนนพระราม 9 พระรูปจะประดิษฐานอยู่บนเนินดินที่มีแนวต้นไม้ประดับอยู่ จะทำให้พระรูปนี้เด่นชัด โดยมีแสงธรรมชาติเป็นเสมือน spot light ส่องไปที่พระรูป

l งานชิ้นนี้ใช้เวลาทำทั้งหมดนานแค่ไหนครับ
ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ปีครับ เฉพาะแค่เลือกหินอ่อนก็หลายเดือนแล้วครับ งานนี้ต้องเริ่มตั้งแต่หาสถานที่ที่เหมาะสม แล้วออกแบบ design ดู landscape และเริ่มสเก็ตช์ภาพ หาข้อมูลประกอบ หาภาพจริงประกอบ ทั้งหมดก็ประมาณ 2 ปีครับ
l หินอ่อนที่ใช้ทำพระรูป มาจาก Carrara ใช่ไหมครับ
แน่นอนครับ ผมไปเลือกด้วยตัวเองเลยครับใช้เวลาเลือกอยู่นานพอสมควรเลยกว่าจะได้หินก้อนนี้มา
l หินอ่อนในบ้านเรา เช่น หินอ่อนสุโขทัยหินอ่อนอีกหลายที่ ใช้ทำงานนี้ได้ไหมครับ
ทำงานนี้ไม่ได้ครับ เพราะงานละเอียดมาก แต่ถ้าเป็นงานทั่วไปที่ไม่เน้นความละเอียดเท่านี้ ก็ใช้ได้ครับ ผมขออธิบายคร่าวๆ ว่า จริงๆ แล้วหินอ่อนในโซนเอเชียทั้งหมด เช่น จากพม่า อินเดีย ไทย จีน เวียดนาม เป็นแบบเดียวกันหมด แต่สำหรับหินอ่อนที่ผมเลือกใช้สำหรับงานนี้ ผมเลือกใช้หินอ่อนจาก Carrara ครับ เพราะลักษณะการกำเนิดหินอ่อน Carrara มีส่วนสำคัญกับการใช้งานแกะสลักที่ต้องการความละเอียดมากๆ เนื้อหินอ่อนมีความแข็งและแน่นกว่าหินอ่อนทั่วไป หินอ่อนจากที่นี่จึงเหมาะกับงานที่ผมทำงานสำคัญนี้ครับ

l อุปสรรคใหญ่ที่สุดของการทำพระรูปองค์นี้คืออะไรครับ พระรูปนี้ใหญ่กว่าคนจริงประมาณ 1 เท่าครึ่ง ใช่ไหมครับ
ใช่ครับ ใหญ่กว่าคนจริง 1 เท่าครึ่ง ส่วนอุปสรรคก็มีบ้าง แต่ก็เอาชนะอุปสรรคได้เกือบทั้งหมด งานนี้เริ่มตั้งแต่เริ่มสร้างชิ้นงาน เริ่มต้นทำแบบ โดยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเห็นว่า ต้องการให้ทำพระรูปนี้เพื่อนี้ประดิษฐาน ณ อาคารทันตนวัตกรรม เราก็ต้องไปดูสถานที่จริง ดูว่าอาคารเป็นแบบไหน จะประดิษฐานพระรูปตรงไหนของสถานที่จริง และก็ดูความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์ท่านกันสถานที่แห่งนั้นนี่คือขั้นเริ่มต้นงาน ต่อมาคือการหาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านที่จะทำเป็นต้นแบบ แล้วดูว่าพระบรมฉายาลักษณ์ที่จะทำเป็นต้นแบบนั้น มีมุมก้มมุมเงยของพระพักตร์และพระอิริยาบถอย่างไร ต้องดูรายละเอียดทั้งหมดก่อน ดูแม้กระทั่งช่วงของพระชนมายุของพระองค์ท่านที่เราจะตัดสินใจใช้สำหรับเป็นต้นแบบของการแกะสลัก เพราะช่วงอายุของคนก็มีความสำคัญกับชิ้นงาน เราต้องนำรายละเอียดทั้งหมดมาประมวลก่อนจะลงมือทำจริงๆ ตรงนี้คือความยากอย่างหนึ่งของงาน เราต้องหาหลักฐานอ้างอิงให้มากและสมบูรณ์ที่สุดก่อนลงมือทำงาน
l ใช้เวลาหาหินอ่อนที่เหมาะสมกับงานนานแค่ไหนครับ การนำหินเข้ามาในเมืองไทยยุ่งยากมากไหมครับ
ขั้นตอนการนำหินเข้ามาในไทยไม่ยุ่งมากนัก แต่ตอนที่หาหินให้เหมาะสมนั้นยากกว่ามาก ต้องไปเลือกเองที่หน้าเหมืองหินอ่อน ตอนแรกได้ก้อนที่หนักถึง 21 ตัน แต่เมื่อดูรายละเอียดของหินก้อนแรกที่พบนั้นแล้วมีปัญหาตรงที่มีรอยตรงหน้าพระพักตร์ สุดท้ายจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นก้อนที่มีขนาด 17 ตันแทน เพราะลงตัวมากกว่า หลังจากผมปั้นต้นแบบเสร็จเรียบร้อย แล้วหล่อด้วยปูนปลาสเตอร์ ซึ่งผมเอาไว้เพื่อวัดขนาดเพื่อเอาขนาดนี้ไปเทียบกับหินก้อนที่ต้องการใช้ เราต้องการหินที่ใหญ่มากกว่าปกติ หินปกติก้อนหนึ่งจะมีขนาดประมาณไม่เกิน 2 เมตร ขนาดนี้พอจะหาได้ไม่ยากนัก แต่เราต้องการหินขนาด 2 เมตร 50 เซนติเมตร หินขนาดนี้จะหาได้ค่อนข้างยาก โรงงานอุตสาหกรรมหินอ่อนจะรู้จริง ๆ แล้วกว่าเราได้หินก้อนหนึ่งขนาด 2 เมตร 50 เซนติเมตรนั้นมันยาก เพราะจะมีมุมใดมุมหนึ่งของหินไม่ถึง 2 เมตร 50 เซนติเมตร เพราะมันจะมีมุมแฉลบ มีรอยบาก หรืออาจจะมีรอยร้าว ซึ่งทำให้หินมันแตกได้ เพราะฉะนั้น ด้านใดด้านหนึ่งของก้อนหินอาจจะไม่เต็ม มันต้องแหว่งอย่างแน่นอน ผมก็ต้องวัดทุกด้านให้ดีก่อน เพราะจะดูว่ารอยแหว่งรอยเว้านั้นจะมีผลต่องานแกะสลักหรือไม่ ช่วงแรกผมหาหินอยู่หนึ่งเดือนเต็ม วนไปหาทุกเหมืองใน Carrara แต่ไม่ได้หินที่ต้องการ เมื่อไม่ได้หินก็ต้องหาใหม่ ใช้เวลาเพิ่มอีกสามสัปดาห์ จนสุดท้ายก็ได้หินที่ต้องการ เมื่อได้หินเรียบร้อยแล้ว ก็มีปัญหาในขั้นตอนการแกะสลักหินก้อนใหญ่ขนาดนี้ เพราะที่ทำงานเดิมที่ผมใช้นั้นไม่เหมาะกับการทำงานขนาดใหญ่เช่นนี้ ก็ต้องหาที่ใหม่ ก็ใช้เวลาหาสักพัก แต่ไม่นานนัก สุดท้ายก็มาได้ตรงที่บริเวณถนนรังสิต-นครนายก ใกล้ๆ กับ Dream World แต่กว่าจะนำหินเข้ามาใน studio ใหม่ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะรถเทรลเลอร์ที่ใช้มีขนาดใหญ่ ต้องตีวงเลี้ยวกว้างมาก ต้องใช้รถเครนขนาดใหญ่เพื่อยกหินหนักหลายตัน รถเข้าซอยไม่ได้ ต้องแก้ปัญหากันยกใหญ่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี studio ที่ใช้ทำงานนี้ก็ต้องทำขึ้นใหม่ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ

l นอกจากงานแกะสลักหินอ่อนแล้ว คุณนทียังทำงานแกะวัสดุอื่นๆ หรืองานประติมากรรมอื่นๆ ด้วยไหมครับ
ก็มีทำบ้าง เช่นงานปั้น งานหล่อ แต่ว่าใจจริงผมไม่ค่อยอยากทำพวกอื่นมากนัก ผมชอบงานแกะสลักหินอ่อนมากกว่า ผมชอบงานนี้มาก ชอบในเนื้อหินอ่อน แกะสลักแล้วให้ความรู้สึกที่ดี ตามที่เราต้องการสื่อออกไป หินอ่อนสื่อความหมายตามที่ผมต้องการได้มากที่สุด ดูจากรอยพระสรวลของพระองค์ท่านที่ผ่านจากพระรูปนี้ได้ งานปั้น งานหล่อ กับงานแกะสลักหินอ่อนมีความต่างกัน งานปั้นงานหล่อนั้นเวลาเราทำเราต้องมีตัวรูปปั้นแล้วต้องทำแม่พิมพ์ เมื่อถอดแม่พิมพ์ออก งานที่ได้ก็ไม่ชัดเท่าตัวจริง เพราะจะหายไปกับแม่พิมพ์ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อหล่อเสร็จก็จะหายไปอีก 5 เปอร์เซ็นต์ เวลาขัดแต่งก็หายไปอีกเรื่อยๆ แต่งานแกะหินอ่อนจะจบที่ตรงนั้นเลย และเวลาเราต้องการให้มีริ้วรอยใด ๆ บนผิวหินอ่อน เราสามารถทำได้ตามที่ต้องการ ซึ่งทำได้ยากกับดินและโลหะ เพราะโลหะต้องมีรอยเชื่อม ต้องนำไปขัดก่อน
l ถ้าผู้อ่านแนวหน้า หรือดูรายการแนวหน้าวาไรตี้ต้องการให้คุณนทีแกะสลักหินอ่อนเป็นรูปของเขาคุณนทีจะรับงานไหมครับ
ขอให้เราได้คุยกันก่อนดีกว่าครับ ขอดูเป็นแต่ละรายได้นะครับ เพราะงานแบบนี้ใช้เวลานานมากครับ เวลารับงานใดๆ แล้ว ผมจะไม่ทำงานอื่นแทรกซ้อน เพราะมันทำให้เสียสมาธิการทำงานครับ จึงต้องขอคุยกันก่อนครับ
.jpg)
คุณสามารถพบรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการ แนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์TNN2 ช่อง 784 ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8 และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube ผู้หญิงแนวหน้าby คุณแหน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี