คุณสัมผัสได้ด้วยตัวคุณเองหรือไม่ว่าประเทศไทยในยุคนี้มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงกว่าในอดีตย้อนหลังไป 30 ปีที่แล้ว หรือหากถามให้คุณตอบง่ายขึ้นกว่าเดิมคือ ทุกวันนี้คุณนอนโดยไม่ต้องเปิดเครื่องทำความเย็น (air conditioner)ได้หรือไม่
อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ถูกรับรู้ในนาม climate change และได้รับการยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นภัยอันตรายอย่างหนึ่งของโลกใบนี้
องค์การสหประชาชาติได้ประกาศเมื่อปี ค.ศ. 2014 ว่า การที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้เกิดผลกระทบ เกิดการต้องปรับตัว และเกิดความอ่อนแอต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อทุกทวีปบนโลกใบนี้กระทบไปถึงระบบการเกษตร สุขภาวะและความเป็นอยู่ของมนุษย์ ระบบนิเวศ และระบบน้ำบนโลกใบนี้
สิ่งหนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยลดปัญหา climate change ได้คือ การยุติการอุปโภคบริโภคเนื้อสัตว์ ไข่ และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจากสัตว์ แล้วหันไปอุปโภคบริโภคพืชพันธุ์ธัญญาหารแทน
หลายคนตั้งคำถามว่า เหตุใดการลดการกินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจากสัตว์จึงช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้ คำตอบคือ อย่าลืมว่าการทำฟาร์มสัตว์ขนาดใหญ่ เพื่อนำเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ไปเพื่อใช้เป็นอาหาร และใช้เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์นั้น ต้องใช้พื้นที่จำนวนมหาศาลบนโลกใบนี้ เพื่อปลูกพืชที่เป็นอาหารสำหรับสัตว์ซึ่งก็คือการหักร้างถางพง ทำลายพื้นที่ป่า เพื่อใช้พื้นที่นั้นสำหรับปลูกต้นไม้เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ขออนุญาตยกตัวอย่างที่คนเห็นได้ชัดที่สุดคือ ป่าถูกเผาเขาหัวโล้น ในเขตจังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะที่น่าน ซึ่งหลายคนรู้ดีว่า ต้นเหตุการเผาป่า ตัดต้นไม้จนภูเขากลายเป็นเขาหัวโล้นเพื่อทำไร่ปลูกพืชสำหรับผลิตอาหารสัตว์
เมื่อมีฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนโลกก็หมายความว่ามีการผลิตก๊าซที่ช่วยเร่งการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก (greenhouse gasemissions) เพราะปศุสัตว์สามารถผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเรือนกระจกให้กับโลกใบนี้
คุณและเราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วยการยุติการบริโภคเนื้อสัตว์ และยุติการอุปโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ยิ่งถ้าหากมนุษย์บริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น และใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากสัตว์มากขึ้นก็ยิ่งเร่งการเกิดปัญหาโลกร้อน
เมื่อพูดถึงแนวทางการลดปัญหาโลกร้อนแล้ว หนังสือพิมพ์แนวหน้าจึงได้ดำเนินโครงการไถ่ชีวิตโคและกระบือจากโรงฆ่าสัตว์ แล้วนำสัตว์นั้นไปให้เกษตรกรเลี้ยงดูต่อไปจนกว่าสัตว์จะหมดสิ้นอายุขัยไปตามธรรมชาติ ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินมายาวนานประมาณ 7-8 ปีแล้ว โดยเชิญชวนคณะบุคคลในกองบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้า และเชิญชวนให้ผู้อ่านแนวหน้า รวมถึงบุคคลทั่วไปร่วมโครงการนี้ นับจากวันแรกของโครงการจนถึงวันนี้ พวกเราสามารถไถ่ชีวิตโคและกระบือได้รวม 88 ตัวแล้ว ถ้าหากคุณติดตามอ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้ามาโดยตลอด คุณย่อมทราบดีว่าโครงการนี้ไถ่ชีวิตโคและกระบือแล้วมอบสัตว์ให้เกษตรกรในจังหวัดใดไปแล้วบ้าง
สำหรับภาพประกอบคอลัมน์ประจำสัปดาห์นี้ คือภาพสวย ๆ ที่ทำให้คุณประทับใจ ซึ่งเป็นภาพจากจังหวัดเชียงราย โดย Mr. Flower นำความสุขสบายของโคและกระบือที่ผ่านความตายจากโรงฆ่าสัตว์มาฝาก และคุณคงเห็นได้ชัดเจนว่าโคและกระบือมีความสุขมากเพียงใดเมื่อเขาได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมในทุ่งนาและหนองน้ำ
วันหน้าเมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว ผมจะนำคุณๆ ไปเที่ยวและไปเยี่ยมเยียนโค-กระบือที่เราร่วมกันไถ่ชีวิตพวกเขา รวมถึงเยี่ยมเยียนผู้รับโค-กระบือไปเลี้ยง
ถ้าหากคุณสนใจร่วมโครงการ ไม่ว่าจะร่วมบริจาค หรือร่วมรับสัตว์ไปเลี้ยงดู โปรดติดต่อโทรศัพท์ หมายเลข 091-7233615
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี