ช่วงกักตัวอยู่บ้านในวิกฤตการณ์โควิด-19 คนส่วนใหญ่อาจจะเบื่อหรือเครียดซึ่งความเครียดอาจก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้บางคนที่เคยเป็นโรคสุกใสแล้ว เมื่อร่างกายภูมิร่างกายตก อ่อนแอ พักผ่อนน้อย เครียดไม่ออกกำลังกาย งูสวัดถึงออกมาได้
ข้อมูลจาก ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานฝ่ายกิจกรรมสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ และ ผู้อำนวยการคลินิกสยามเดอร์มาติกส์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้จะพบคนไข้มาปรึกษาเรื่อง ตุ่มน้ำ
ที่ผิวหนัง เป็นกลุ่มๆ เรียงกันเป็นแนวอยู่หลายคน จนเริ่มสงสัยว่างูสวัดมีการระบาดหรือเปล่า ตัวเลขจากสำนักงานระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคงูสวัดในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ65 ปีขึ้นไป สอดคล้องกับข้อมูลจากภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลที่จัดให้โรคงูสวัดเป็น 1 ใน 3 โรคติดเชื้อที่สำคัญร่วมกับไข้หวัดและปอดบวม โดยพบได้ราวร้อยละ 20-30 ในประชาชนทั่วไป และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในผู้ที่มีอายุถึง 85 ปี และข้อมูลจากสถาบันโรคผิวหนังพบผู้ป่วยงูสวัด ปีละประมาณ 1,000 คน
งูสวัด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus : VZV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกันกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อร่างกายได้รับเชื้อชนิดนี้มาครั้งแรกจะก่อให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อหายจากอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสบางส่วนจะไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ปมประสาทเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือร่างกายอ่อนแอลง เชื้อไวรัสจะออกมาจากปมประสาทมาทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง
อาการของงูสวัดจะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก จะมีไข้ต่ำ ปวดเมื่อยปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายบริเวณที่กำลังจะมีผื่นขึ้น เพราะเส้นประสาทเกิดการอักเสบ ในระยะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นงูสวัด บางคนจะรู้สึกเสียวแปล๊บๆ ตามผิวหนัง หรือปวดศีรษะอย่างมากบางคนคิดว่า ตัวเองเป็นไมเกรน ถ้าเป็นที่เส้นประสาทตา จะปวดตา ตาแดง ถ้าเป็นเส้นประสาทหูอาจจะปวดในรูหู จนกระทั่งมีผื่นออกมา เข้าสู่ระยะที่ 2 มีผื่นและเป็นตุ่มแดงขึ้นก่อนและกลายเป็นตุ่มน้ำพองใสและระยะ 3 จะมีการเรียงตัวของผื่นตามแนวเส้นประสาท เส้นประสาทที่พบบ่อยจะเป็นบริเวณ ลำตัวข้างใดข้างหนึ่ง บริเวณใบหน้า เป็นต้น และโดยปกติของคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติจะเกิดจากโรคตามแนวเส้นประสาทเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น
ในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก อาทิ ผู้ป่วยโรคเอดส์ โรคมะเร็ง มีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคได้ทั้ง 2 ข้างของแนวเส้นประสาท แต่แนวเส้นประสาทเราจะไม่ได้ชนกันเป็นวงรอบตัว ทำให้ความเชื่อที่ว่าถ้าเป็นงูสวัดพันรอบตัวแล้วจะต้องเสียชีวิต จึงไม่เป็นความจริง ส่วนตำแหน่งที่น่ากลัวของการป่วยโรคงูสวัด คือ บริเวณแนวเส้นประสาทที่เลี้ยงใบหน้า เพราะอาจทำให้ตาบอดได้
ดังนั้น ถ้ามีผื่นรอบตาจะต้องตรวจภายในดวงตาด้วย ในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำและผู้สูงอายุ ภายหลังจากที่หายจากอาการของโรคแล้ว บางครั้งอาจจะมีอาการปวดแปล๊บๆ เหมือนไฟช็อต
อีกด้วย เรียกว่า post herpetic neuralgia ซึ่งเป็นอาการที่ทรมานมาก อาการอาจจะหายในเวลาเป็นเดือนเป็นปี หรืออาจจะตลอดชีวิตได้ การรักษาบางครั้งหายยากมาก ยาที่รับประทานอาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงมาก ทำให้เสียคุณภาพชีวิตจึงเป็นที่มาของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด อาการปวดเส้นประสาทพบได้ถึงร้อยละ 70-80 ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
กลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัดทุกคนที่เคยป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสมีโอกาสเป็นงูสวัดได้ทั้งสิ้น เพราะจากที่กล่าวไปข้างต้นว่าเชื้อไวรัสไม่ได้หายไปไหน แต่จะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายเราไปตลอดชีวิต แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นงูสวัด มีดังนี้ ผู้ที่มีอายุ50 ปีขึ้นไป เพราะภูมิต้านทานต่างๆ เริ่มเสื่อมถอยลงเปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสเข้าโจมตีร่างกายได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อาจส่งผลให้นอนหลับไม่ตรงเวลา พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือต้องอยู่ในสถานที่ที่ไม่สะอาดถูกสุขอนามัยก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะให้เกิดโรคง่ายขึ้นผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เครียด นอนไม่ค่อยหลับ รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ไม่ค่อยออกกำลังกาย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องเข้ารับเคมีบำบัด เป็นต้น
สำหรับการรักษาโรคงูสวัด โดยปกติ ถ้างูสวัดเกิดในคนอายุน้อย ร่างกายแข็งแรงดี สามารถหายเองได้ในเวลา 2 สัปดาห์ หากไม่มีข้อแทรกซ้อน ปัจจุบันมียาต้านเชื้อไวรัสช่วยรักษาที่มีประสิทธิภาพดี ทั้งนี้หากต้องการให้การรักษามีประสิทธิภาพต้องได้รับยาให้เร็วที่สุดเมื่อเห็นตั้งแต่เริ่มมีอาการแรกๆ ในช่วงก่อนมีตุ่มน้ำใสขึ้นจนระยะก่อนที่ตุ่มน้ำใสจะแตกหรือจะให้ดีที่สุดควรใช้หลังจากพบตุ่มน้ำใสไม่เกิน 2-3 วัน จึงจะได้ผลดีที่สุดเพราะจะทำให้ยับยั้งการเพิ่มขึ้นของเชื้อไวรัสและลดการลุกลามของอาการได้
โรคงูสวัดเป็นโรคที่ไม่อันตรายแต่ก็มีกรณีที่น่าเป็นห่วงเช่นกันนั่นก็คือในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยก็คืออาการปวดตามแนวเส้นประสาท หลังจากการติดเชื้อ โดยส่วนใหญ่จะพบได้ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป บางรายอาจจะใช้เวลาไม่นานก็หาย แต่บางรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการปวดเรื้อรังหลายปี นอกจากนี้ก็ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้อีก เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย ตาอักเสบ แผลที่กระจกตา ภาวะแทรกซ้อนที่หู ขณะที่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากๆ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากกว่าและแพร่กระจายได้ เช่น สมองอักเสบหรือปอดอักเสบ แต่ก็เป็นอาการที่พบได้น้อย สิ่งที่ห้ามคือ การไปพ่นยาที่ใช้การเป่า เนื่องจากอาจติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่ม ไม่ควรทานยาเขียวให้ขับออก การใช้เสลดพังพอนอาจช่วยระยะแรกๆที่อาการไม่มากและไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญ สำหรับอาหารไม่มีข้อห้ามอาหารชนิดใดเป็นพิเศษ ต้องรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ถูกสุขลักษณะ ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หลีกเลี่ยงของหมักดอง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มเติมได้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดก็คือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน เพราะผู้ป่วยสูงอายุจะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป ระยะเวลาของอาการก็จะยาวนานหลายเดือน และอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ง่ายอีกด้วย การป้องกันไม่ให้เกิดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี