ขณะที่มีหลายชาติที่กำลังเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการพัฒนาและทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19ในมนุษย์ แต่ทำให้เกิดความกังวลว่าเมื่อผลิตวัคซีนได้แล้ว ชาติกำลังพัฒนาและชาติยากจนจะเข้าถึงวัคซีนได้ทันท่วงทีหรือไม่ เพราะหลายประเทศกำลังเจรจากับบริษัทยาต่างๆ เพื่อขอสิทธิพิเศษในการเข้าถึงวัคซีน
แม้ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก และบรรดาผู้นำโลก เช่น ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของจีน ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีอังเกล่า แมร์เคิล ของเยอรมนีได้ออกมาเรียกร้องให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลกแต่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อของฮ่องกงรายงานว่า มีหลายประเทศที่กำลังเจรจาสิทธิในวัคซีนกับบริษัทยาต่างๆ
หนึ่งในวัคซีนที่กำลังจะพัฒนาสำเร็จ เป็นของกลุ่มนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท AstraZenecaมีกำหนดแจกจ่ายให้ชาวอังกฤษได้ในเดือนกันยายนนี้ โดยรัฐบาลอังกฤษได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัทเมื่อเดือนที่แล้ว ในการผลิตวัคซีน 30 ล้านโดสภายในเดือนกันยายน และอีก 70 ล้านโดส ในปีต่อมา ขณะที่รัฐบาลสหรัฐได้ให้งบประมาณสนับสนุนการวิจัยนี้ ด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่ว่าสหรัฐจะต้องได้วัคซีน 300 ล้านโดสเช่นกัน
ขณะที่เมื่อต้นเดือนมิถุนายนนี้เอง รัฐบาลฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ ได้จัดตั้ง พันธมิตรวัคซีนอย่างครอบคลุม หรือ Inclusive Vaccine Alliance เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาวัคซีน และทั้งสี่ชาติระบุว่า ต้องการให้บริษัทยาต่างๆ ตกลงว่า สหภาพยุโรปต้องได้เข้าถึงวัคซีนหรือยาใดๆ ก็ตามในราคาที่ย่อมเยา
ด้านแคนาดา บราซิล และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออีก็ตกลงที่จะเป็นประเทศเจ้าภาพโครงการทดลองวัคซีนระยะที่ 3 ของบริษัทสัญชาติจีน 3 บริษัทซึ่งรัฐบาลทั้งสามชาติอาจกำลังเจรจาให้วัคซีนนั้นได้รับการแจกจ่ายให้กับประเทศตนด้วย บริษัทของจีน ทั้ง CanSino Biologics, Sinovac Biotech และ China National Biotec Group ต้องหาประเทศเจ้าภาพในการทดสอบวัคซีน เพราะในจีนมีกรณีการติดเชื้อของไวรัสโคโรนาที่ยังมีชีวิตในประชาชนเหลืออยู่น้อย ในช่วงเวลาที่มีการเริ่มทดสอบขั้นตอนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม การตกลงของประเทศต่างๆ และบริษัทยา ทำให้เกิดความกังวลว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ “ชาตินิยมวัคซีน” ขึ้น
จาง ลี่ ผู้อำนวยการด้านนวัตกรรมยุทธศาสตร์ ที่ Gavi, the Vaccine Alliance ระบุว่า หากแต่ละประเทศรีบลงนามข้อตกลงทวิภาคีกับบรรดาผู้ผลิตยาในช่วงนี้จะนำไปสู่สถานการณ์ที่ว่า ประเทศที่มีรายได้น้อย หรือไม่มีทรัพยากร จะไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ โดยเฉพาะวัคซีนที่จะออกมาในกลุ่มแรกๆเขาระบุว่า การพัฒนาวัคซีนนั้นมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การวิจัยพัฒนาการผลิต การจัดหา และการแจกจ่ายซึ่งสิ่งแรกที่ต้องเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นคือภาวะชาตินิยมวัคซีน
นอกจากนี้ นายลี่ยังบอกด้วยว่า มีความท้าทายในเรื่องของการทำให้วัคซีนราคาย่อมเยาด้วย สิ่งสำคัญสุดควรจะมีการรวบรวมความต้องการของทุกประเทศ และรวมฐานการผลิตเพื่อผลิตขนานใหญ่และแจกจ่าย น่าจะเป็นการดีกว่า การจับคู่ประเทศและบริษัทผลิตเอง หรือต่างคนต่างทำงาน
ในขณะที่ หลี่ อี้หนัว ผู้อำนวยการประจำประเทศจีน ของ มูลนิธิบิล และเมลินดา เกตส์ ระบุว่า เทคโนโลยีอาจเข้ามามีส่วนในการช่วยแก้ปัญหาเพื่อหาสมดุลระหว่าง ความต้องการภายในประเทศ กับการทำให้ทุกประเทศได้เข้าถึงวัคซีนในราคาที่สมเหตุสมผลได้
เธอระบุด้วยว่า ไม่มีความจำเป็นที่ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีนในทันทีที่พัฒนาวัคซีนสำเร็จ แต่ชาติต่างๆ ควรประมวลความต้องการ และแจกจ่ายวัคซีนเป็นระยะๆ โดยเริ่มกับประชากรกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรทางการแพทย์ก่อน ซึ่งในเรื่องนี้ สามารถใช้เทคโนโลยีในการช่วยออกแบบการผลิตที่มีประสิทธิผลสูงสุด ภายในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี