“เบื่อไหม?..กับการต้องพกบัตร
หลายใบในกระเป๋า”, “เบื่อไหม?..กับการต้องวิ่งติดต่อหน่วยงานราชการหลายที่”, “เบื่อไหม?..กับการต้องมานั่งจำรหัสผ่านจนปวดหัวเพราะสมัครใช้บริการหลายเว็บไซต์” เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ขณะที่ภาครัฐเอง “เมื่อจะทำนโยบายต่างๆ ก็ต้องมาทนถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องประสิทธิภาพ..ประเภทคนควรได้แต่กลับ
ไม่ได้ส่วนคนไม่ควรได้กลับได้” ปัญหาข้างต้น
มีสาเหตุมาจาก “ไม่มีการเชื่อมฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน” ทั้งระหว่างหน่วยงานของรัฐกันเอง และหน่วยงานของรัฐกับภาคธุรกิจเอกชน
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมาธิการการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา จัดงานสัมมนาเรื่อง “ไทยแลนด์ดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Thailand Digital Platform) One Country One Platform” ณ ศูนย์นวัตกรรมและความรู้
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ชั้น 7
อาคารบางซื่อจังชั่น ย่านจตุจักร กรุงเทพฯ โดย รศ.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ กรรมาธิการและประธานคณะอนุกรรมาธิการการปรับปรุงพัฒนาระบบ และการบูรณาการฐานข้อมูลในการบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานของรัฐ กล่าวว่า หลายหน่วยงานมีคลังข้อมูลไว้ใช้เองแต่เชื่อมโยงกันยาก
“ในช่วงโควิดทำให้เราได้รู้เลยว่าเรามีข้อมูลขนาดใหญ่แต่เราไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเราไม่สามารถจะดึงข้อมูลในการวิเคราะห์นั้นมาใช้ได้ เราเห็นข้อมูลหลายหน่วยงานที่เก็บเงินเขาทุกเดือนตรงเวลา แต่ถึงเวลาวิกฤติกลับไม่สามารถจะจ่ายเงินได้ภายใน 1-2 เดือน เราก็มองว่าถ้าให้คะแนนการสร้างฐานข้อมูลในการบริหาร การจัดการ และบริการกลับไปที่ประชาชนนั้น เราคิดว่ามีปัญหา แล้วถ้าปล่อยไปอย่างนี้ก็เชื่อว่าเราใช้เงินเยอะ งบประมาณทุ่มเทกับบิ๊กดาตา (Big Data-
ฐานข้อมูลขนาดใหญ่) เยอะ แต่ประสิทธิภาพต่ำ”
รศ.ประเสริฐ กล่าว
ขณะที่ ผศ.อนุชา ตุงศัษฐาน อนุกรรมาธิการ
การปรับปรุงพัฒนาระบบ และการบูรณาการฐานข้อมูลในการบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานของรัฐ กล่าวว่า การที่ภาครัฐแต่ละหน่วยงานต่างพัฒนาเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่น
ขึ้นมาเอง ด้านหนึ่งเป็นภาระกับประชาชนที่จะต้องจำรหัสผ่าน (Password) ของแต่ละเว็บฯ หรือแอพฯให้ได้ อีกด้านก็เป็นปัญหาความซ้ำซ้อน
ในการของบประมาณของหน่วยงาน
จึงเป็นที่มาของแนวคิด “การสร้างแพลตฟอร์ม (Platform) ส่วนกลางที่ครอบคลุมทุกบริการ” ทั้งนี้ แม้จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานกันอยู่บ้าง แต่มักเป็นไปแบบ 1 ต่อ 1 อนึ่ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำลังทำ “พจนานุกรมข้อมูล (Data Log)” ระบุว่าหน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งมีข้อมูลอะไรบ้างที่สามารถร่วมแบ่งปันกันได้ หากสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแพลตฟอร์มกลางสำหรับเชื่อมต่อข้อมูลก็จะเกิดเร็วขึ้น รวมถึงความท้าทายอีกประการหนึ่งคือ “แต่ละหน่วยงานไม่เปิดเผยข้อมูลด้วยเหตุเป็นหน้าที่ที่กฎหมายบังคับ” จะแก้ไขอย่างไร
“สิ่งที่เราคาดหวังคือเราควรจะมีคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่จัดการข้อมูลภาครัฐ แล้วก็แลกเปลี่ยนแบ่งปันข้อมูลโดยตรง ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ผมเข้าใจว่ากำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งถ้ามีคณะกรรมการชุดนี้เราก็จะเหมือนกับหลายๆ ประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศออสเตรเลีย เขาก็จะมีคณะกรรมการชุดนี้เหมือนกัน หมายความว่าข้อมูลใดก็แล้วแต่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยให้กับหน่วยงานภาครัฐด้วยกันหรือหน่วยงานภายนอก กรรมการชุดนี้จะเป็นคนกลั่นกรอง แล้วจะบอกได้ว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาต” ผศ.อนุชา ระบุ
ด้าน วุฒิกร มโนมัยพิบูลย์ อนุกรรมาธิการการปรับปรุงพัฒนาระบบ และการบูรณาการฐานข้อมูลในการบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานของรัฐ กล่าวถึงความสำคัญของการมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) รวมข้อมูลจากทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งลำพังหน่วยงานภาครัฐแต่ละหน่วยงานก็มีฐานข้อมูลเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ค่อยมีการบูรณาการเชื่อมฐานข้อมูลเหล่านี้เข้าด้วยกันมากเท่าที่ควร
หรือแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือที่หลายหน่วยงานของรัฐมีแอพฯของตนเอง เช่นเดียวกับในกระเป๋าสตางค์ของแต่ละคนจะมีบัตรหลายใบ ตั้งแต่ที่เกี่ยวกับรัฐอย่างบัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรประกันสังคม บัตรประจำตัวผู้เสียภาษี ไปจนถึงของเอกชนอย่างบัตรเครดิตของธนาคาร บัตรประกันชีวิต บัตรสมาชิกร้านอาหาร เป็นต้น ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ที่จะรวบรวมบริการและบัตรทั้งหลายไว้ในบัตรหรือแอพฯเดียว
ความสะดวกอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อทุกอย่างอยู่ในบัตรเดียวและเข้าสู่ระบบผ่านโทรศัพท์มือถือ ก็จะไม่ต้องใส่รหัสเข้าสู่ระบบทุกครั้งเมื่อจะใช้บริการของแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพราะบัตรมีเลขประจำตัวอยู่แล้วซึ่งเป็นตัวเชื่อมเข้าสู่ระบบ นอกจากนี้ “รัฐบาลยังสามารถสื่อสารหรือแจ้งเตือนไปยังประชาชนโดยตรงได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาข่าวปลอม (Fake News) ที่ส่งต่อบนโลกออนไลน์กันเองในหมู่ประชาชนได้ด้วย” และระบบโทรศัพท์มือถือปัจจุบันถือว่าปลอดภัยสูงมาก
“ถามว่าความปลอดภัยดีกว่าไหมทุกวันนี้บัตรเราหายไปเราทำอะไรไม่ได้ ถ้าบัตรประจำตัวประชาชนหายนี่คือจบเลยคุณต้องรอไปทำใหม่อย่างเดียว ติดต่ออะไรก็ไม่ได้ พอมาอยู่ในมือถือปุ๊บ ข้อดีข้อแรกคือความปลอดภัย เพราะคุณต้องล็อกพาสเวิร์ด(Password-รหัสผ่าน) เครื่อง คุณต้องล็อกโอทีพี (One Time Password : OTP-รหัสผ่านใช้ครั้งเดียว) เครื่อง เพื่อที่จะเข้าระบบ สิ่งที่สองคือเราไม่มีบัตรพลาสติกถือแล้ว ต้นทุนรัฐหายหมดเลย ในมุมประชาชนเราก็สะดวก ทุกวันนี้กระเป๋าบวมเพราะมีประมาณ 6 ใบอยู่ในมือ” วุฒิกร กล่าว
วุฒิกร กล่าวต่อไปว่า “ประเทศจีนมีการเก็บข้อมูลพฤติกรรมชีวิตบุคคลในแต่ละวันอย่างละเอียด” เช่น การเดินทาง การใช้จ่ายการเลือกซื้อสินค้าและบริการ การรับ และมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ ผ่านแพลตฟอร์ม “วีแชต (WeChat)” แล้วนำมา“วิเคราะห์และใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย”อาทิ การอนุมัติสินเชื่อได้อย่างถูกต้องถึงร้อยละ 90 ซึ่งหมายถึงมีปัญหาหนี้เสียต่ำมาก หรือการเตือนให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลจีนสามารถควบคุมการระบาดได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งฐานข้อมูลนี้สามารถนำมาใช้ในการออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือต่างๆ หรือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ หากรู้ว่าคนคนนี้ชอบท่องเที่ยว นอกจากมาตรการหลักแล้วอาจมีมาตรการเสริมด้วย “การทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่คือการวิเคราะห์พฤติกรรม (Behavior Analysis) คือการเก็บพฤติกรรมของคนคนนั้น” เพราะหากไม่รู้ก็จะเป็นเรื่องยากในการขับเคลื่อนประเทศ
ส่วนกรณี “ข้อกังวล” เกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีนี้ของจีน ที่รัฐบาลแดนมังกรนำฐานข้อมูลพฤติกรรมบุคคลมาจัดทำ “ระบบคะแนนความประพฤติ (Social Credit)” เพื่อควบคุมไม่ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งระบบดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้คนที่อยู่นอกประเทศจีนว่า “ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนมากเกินไป” จนไม่เหลือเสรีภาพในการใช้ชีวิต
อาทิ คนคนหนึ่งอาจใช้เวลาแต่ละวันหมดไปกับอินเตอร์เนตหรือเกมคอมพิวเตอร์จนไม่ได้ออกกำลังกายและพักผ่อนน้อย หรือใช้จ่ายเงินที่ดูเกินตัวหากเทียบกับรายได้ ระบบคะแนนความประพฤติจะแจ้งเตือนและมีการตัดการเข้าถึงสิทธิหรือบริการบางอย่าง เพื่อกดดันให้คนคนนั้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เรื่องนี้ยืนยันว่า “กรณีของประเทศไทย..การเก็บข้อมูลพฤติกรรมคนเป็นเพียงการนำมาวิเคราะห์และอาจรวมถึงประชาสัมพันธ์ข่าวสารในภาพรวมเท่านั้น” จะไม่มีการนำไปบังคับกดดันให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมแต่อย่างใด
“เราเก็บข้อมูลพฤติกรรมแต่เก็บเพื่อมาวิเคราะห์ เราไม่ลงไป Force (บังคับ) ว่าคุณต้องแก้อะไร อันนั้นไม่ใช่หน้าที่ เราเก็บมาวิเคราะห์ว่าข้อมูลชุดนี้ เช่น สมมุติมีคนเล่นเกมตรงนี้เยอะ แต่ตรงนี้เราไม่ได้เก็บ เราเก็บข้อมูลการใช้ชีวิตมากกว่า เช่น คุณไปดูหน่วยงานไหนเยอะสุด คุณไปช็อปปิ้งหรือซื้อของอะไรที่ไหนมากกว่า เราไม่ได้เก็บพฤติกรรมที่เป็นการเล่นเกม เรานำมาวิเคราะห์เฉยๆ
สมมุติว่าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็ส่งข้อมูลไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าคุณจะ Promote (ประชาสัมพันธ์) อย่างไร เราคงไม่สามารถไปจิ้มเป็นบุคคล จะเป็นการดูภาพรวม ยกตัวอย่างตอนนี้เด็กติดเกมเยอะ ก็คงต้องประชาสัมพันธ์ว่าจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไรมากกว่า แต่จะไปบังคับอะไรไม่ได้ แบบนั้นละเมิดส่วนบุคคลมากไป” วุฒิกร กล่าวในท้ายที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี