บีมายเกสท์ เสาร์นี้ เปิดตัวเวิร์กกิ้งแมนวัย 30 ต้นๆ “น่าน หงษ์วิวัฒน์” ทายาทรุ่นที่ 2 ของสำนักพิมพ์แสงแดด ผู้ผลิตตำราอาหาร หนังสือสุขภาพ และนิตยสารด้านอาหารการกินชื่อดัง ซึ่งดำเนินกิจการมานานกว่า 20 ปี เขาเป็นลูกไม้หล่นใกล้ต้น และเป็นผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง
“เป็นลูกชายคนที่ 2 ในจำนวน 4 คนของคุณพ่อ ศ.ดร.ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์ ประธานบริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด และคุณแม่นิดดา หงษ์วิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฯ ท่านทั้งสองเป็นผู้บุกเบิกสำนักพิมพ์แสงแดดตั้งแต่ต้น ที่เริ่มจากสำนักพิมพ์เล็กๆ เป็นธุรกิจในครอบครัว จนปัจจุบันมีชื่อเสียงด้านตำราอาหาร ที่ได้การตอบรับจากผู้อ่านมายาวนานจนเป็นที่รู้จักและยอมรับ รุ่นผมเป็นทายาทเจเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งนอกจากจะสืบทอดกิจการของครอบครัว เป้าหมายสำคัญคือจะนำพาสำนักพิมพ์แสงแดดไปสู่การเป็น Food Content Provider ให้ได้ หมายถึงว่าแสงแดดจะไม่เป็นแค่เพียงสื่อสิ่งพิมพ์เท่านั้น แต่จะมองหาช่องทางอื่นๆ ที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น”
น่าน หงษ์วิวัฒน์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น ผู้จัดการทั่วไป บริษัทสำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด ถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญ ที่สร้างจุดเปลี่ยนให้สำนักพิมพ์แสงแดดเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ American International Student Exchange ที่รัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา และได้เริ่มต้นงานแห่งแรกในตำแหน่ง Sales Engineer ที่บจก.ค้าสากลซีเมนต์ไทย ในเครือปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 1 ปี ระหว่างเส้นทางนั้นพบว่าวิศวกรรมไม่น่าจะใช้งานที่ชอบ จึงเริ่มคนหาตัวเองใหม่อีกครั้งและคิดว่าการตลาดน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับตัวเอง ซึ่งช่วงนั้นทางสำนักพิมพ์แสงแดดซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว เกิดขาดทีมการตลาดพอดี คุณพ่อคุณแม่ชักชวนให้มาช่วยที่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ บริษัท สำนักพิมพ์แสงแดด จำกัด ซึ่งทำมาแล้วกว่า 10 ปี
“ตอนนั้นเราไม่ใช่ธุรกิจที่ใหญ่โตนัก การมาทำงานในช่วงแรก จึงต้องลุยกันแบบมวยวัดเลย คือลองผิดลองถูก และศึกษาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เริ่มสำรวจร้านค้าใหม่ คิดกลยุทธ์ว่าจะทำอย่างไรให้หนังสือออกมาถูกใจผู้อ่าน ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์กับร้านค้าที่จำหน่ายหนังสือของสำนักพิมพ์ ฯลฯ เป็นต้น เรียกว่า ถ้าจะให้ออกมาถูกใจผู้อ่านก็ลุยกันแบบนี้ไปเลย จึงไม่ได้ใช้ทฤษฎีอะไรมากมาย แต่ใช้ประสบการณ์เพื่อสอนเราไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นหนังสือที่ผลิตยังมีปริมาณไม่มากนัก แต่พอได้เข้าไปดูแลการตลาดแบบจริงจังต่อมาธุรกิจก็เริ่มดีขึ้น”
หลังจากนั้น 2 ปี ผู้บริหารหนุ่มสนใจไปศึกษาต่อ MBA คณะบริหารธุรกิจ ณ Weatherhead School of Management ที่ Case Western Reserve University ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 2 ปีเต็ม เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้เต็มที่ จากนั้นจึงกลับมาสานต่อความก้าวหน้าทางธุรกิจของครอบครัวในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปอีกครั้ง
“ตั้งใจไปเรียนมาร์เก็ตติ้ง พอไปจริงๆ ก็ไปโฟกัสทางสายไฟแนนซ์ หรือการเงินมากกว่า แต่ก็ได้เรียนหลายในอย่างที่ต้องการและคิดว่ามีประโยชน์กับบริษัทของครอบครัว พอกลับมาทำงานในส่วนที่ดูแลก็มีบทบาทหน้าที่เพิ่มขึ้น ได้สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญของสนพ.แสงแดด คือ กลับมารีโนเวทสำนักพิมพ์ใหม่ เพื่อให้มีระบบมากขึ้นโดยรวม เช่น ส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้สึกที่ดีในการทำงาน กระตุ้นให้เกิดผลงานที่ดีออกมา ถือว่าตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสำนักพิมพ์เรา การเปิดร้านหนังสือจำหน่ายหนังสือของสำนักพิมพ์ และสร้างอรรถรสในการอ่านด้วยการเปิดมุมกาแฟเล็กๆ ให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำไปพร้อมๆ กับการอ่านหนังสือ เนื่องจากเราเป็นสำนักพิมพ์ตำราอาหารที่ผลิตตำราอาหารและสร้างสูตรอาหารมานาน จึงคิดว่าทำไมไม่ขายอาหารรสชาติดีให้ลูกค้าได้ลิ้มลองไปด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายกิจการสู่ร้านอาหารสไตล์ อิตาเลียนแบบฟิวชันในชื่อ นอสโตร คาเฟ่ ตั้งอยู่แถวย่านทาวน์อินทาวน์ ซอยลาดพร้าว 94 และกำลังจะเปิดสาขาที่สองที่โครงการสยามสแควร์วัน เร็วๆ นี้”
เมื่อเริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการอาหารอย่างจริงจัง ผนวกกับความไม่หยุดนิ่งในการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้ น่าน ลงทุนศึกษาการทำธุรกิจร้านกาแฟ และเรียนทำอาหารอย่างจริงจัง จนหลงใหลไปกับเสน่ห์ในศาสตร์นี้ พร้อมๆ กับการเปิดกิจการใหม่ๆ ด้านอาหาร คือ “โรงเรียนสอนทำอาหารแสงแดด คุกกี้ สตูดิโอ” โดยรวบรวมสูตรการสอนทั้งอาหารไทย ขนมไทย อาหารตะวันตก อาหารญี่ปุ่น และเบเกอรี่ ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 3,000 สูตร
“การเข้ามาทำงานที่สำนักพิมพ์ เป็นเหมือนโอกาสที่เข้ามาแล้วเราก็ลุยไปกับมันโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียนรู้ได้ไปเพิ่มเติมกับสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ว่าจากการเรียนวิศวะฯ การเรียนด้านการเงิน ทุกอย่างได้ผสมผสานเสริมให้เราเข้าใจระบบธุรกิจมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องอาหารนั้นเมื่อเราทำธุรกิจด้านตำราอาหารมา 20 กว่าปี แต่ทำอาหารไม่เป็นเลยคงไม่ใช่ การได้มาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และได้ลงมือทำอาหารเอง จะทำให้เราเข้าใจแล้วถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือออกไปในคอลัมน์ประจำ รวมถึงตำราอาหารต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น แม้แต่การเปิดโรงเรียนสอนทำอาหาร การลงทำอาหารแล้วนำมาเขียนสูตร การทำอาหารเพิ่มจัดสำหรับถ่ายรูป ถ่ายทำรายการออกทีวี ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับอาหารมันเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทาย คนที่เป็นเชฟ คือคนที่ทำอาหารในห้องครัว แม้ผมจะไม่เชฟแบบนั้น แต่ก็มั่นใจว่าตัวเองทำอาหารอร่อย”
ในฐานะเจเนอเรชั่นที่ 2 ของธุรกิจครอบครัว น่าน ยอมรับว่า การได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ทุ่มเทให้กับบริษัทฯ และดูแลหลายอย่างมาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อถึงรุ่นเราก็อยากพัฒนาธุรกิจนี้ให้ดีที่สุดและมากขึ้นไปอีก อนาคตตั้งเป้าไว้ว่าจะปรับสำนักพิมพ์แสงแดดให้เป็น Food Content Provider ด้วยการไม่จำกัดตัวเองไว้แค่เพียงสื่อสิ่งพิมพ์บนกระดาษ แต่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการในเรื่องข้อมูลของอาหารในรูปแบบอื่นๆ ด้วย อาทิ การเกาะติดกระแส เพิ่มช่องทางเพื่อให้สื่อสารถึงผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เช่น การทำการผลิตหนังสือในรูปแบบ E-book การทำวีดีโอซีดี การจัดทำเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์ การผลิตรายการทีวี เป็นต้น
“ก่อนหน้านี้สำนักพิมพ์แสงแดด จะเน้นการผลิตผลงานคุณภาพและพัฒนาองค์กรโดยไม่ได้ประชาสัมพันธ์ตัวเองเท่าใดนัก แต่ปีนี้จะเป็นปีแรกที่สำนักพิมพ์แสงแดดจะเริ่มโปรโมทตัวเองให้ทุกคนได้รู้จักผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ เครือข่ายเน็ตเวิร์ค กิจกรรมการเปิดตัวหนังสือและสื่อสารกับผู้อ่านโดยตรงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อสื่อสารออกไปยังผู้บริโภคมากขึ้น”
อีกหนึ่งความมุ่งมั่นของผู้บริหารหนุ่มคนนี้ คงทำให้คนรักการทำอาหาร มั่นใจได้ว่าจะมีผลงานคุณภาพจากสำนักพิมพ์แสงแดดออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี