ปัสสาวะออกน้อย ขาบวม หนังตาบวม อาการของโรคไตวายเฉียบพลัน อาจหายขาดได้หากมาพบแพทย์ภายใน 3 เดือนหลังมีอาการ
แพทย์หญิงอำไพวรรณ รุ่งบรรณพันธุ์ อายุรแพทย์โรคไต โรงพยาบาลเวชธานีเปิดเผยว่า โรคไตวาย (Kidney Failure หรือ Renal Failure) คือการที่ไตทั้งสองข้างสูญเสียความสามารถในการกรองของเสียและขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายทางปัสสาวะ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือไตวายเฉียบพลันและไตวายเรื้อรัง
ไตวายเฉียบพลัน คือการที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเป็นวันถึงสัปดาห์ ผู้ป่วยมักจะมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะออกน้อยลง ซึ่งในกรณีรุนแรงจะออกน้อยกว่า 500 มิลลิลิตรต่อวัน รวมทั้งอาจมีปัสสาวะผิดปกติ เช่น มีฟองคล้ายฟองสบู่ สีขุ่นหรือสีแดงคล้ายน้ำล้างเนื้อ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ บวมบริเวณใบหน้าหรือหนังตาทั้ง 2 ข้างหลังตื่นนอน ซึ่งมักจะค่อยๆ ยุบลงในช่วงบ่าย พร้อมกับไปบวมกดบุ๋มที่ขาทั้ง 2 ข้างแทน โดยมีข้อสังเกตง่ายๆ คือการบวมจากไตวายจะไม่มีอาการปวด แดงหรือร้อนร่วมด้วย เพราะการบวมนี้เกิดจากการคั่งของน้ำและเกลือโซเดียมในร่างกาย ไม่ได้เกิดจากการอักเสบของข้อหรือผิวหนัง
สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน ได้แก่ ภาวะช็อกจากสาเหตุต่างๆ เช่น หัวใจล้มเหลว ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือการที่ร่างกายสูญเสียสารน้ำปริมาณมาก เช่น การตกเลือด ท้องเสียหรืออาเจียนอย่างรุนแรง หรือเป็นโรคไตอักเสบเฉียบพลัน นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการได้รับยาที่มีผลเสียต่อไต ที่พบบ่อยคือยาชุดแก้ปวดยาสมุนไพร เช่น ตะไครเครือ เห็ดหลินจือ ปอกะบิดตลอดจนอาหารบางชนิด หากบริโภคมากอาจทำให้ไตวายได้ เช่น ลูกเนียงดิบ น้ำมะเฟือง ผักปวยเล้งโกฐน้ำเต้า ตะลิงปลิง แครนเบอร์รี่ เป็นต้น
ในขณะที่ไตวายเรื้อรัง เป็นภาวะที่ไตทั้งสองข้างทำงานเสื่อมลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยตรวจพบไตทำงานเสื่อมต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งการที่ไตเสื่อมลงช้าๆ นี้ทำให้อาการแสดงในช่วงแรกไม่เด่นชัดเหมือนไตวายเฉียบพลัน ผู้ป่วยจึงมักมาพบแพทย์ล่าช้า ทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยอาการที่ต้องสงสัยว่าอาจมีภาวะไตวายเรื้อรังคือ อ่อนเพลีย ซีดลง เบื่ออาหาร คันตามตัว ผิวแห้ง ปัสสาวะกลางคืนบ่อย หรือเกิน 2 ครั้งต่อคืน โดยถ้าเป็นรุนแรงแล้วจะมีอาการคล้ายภาวะไตวายเฉียบพลันร่วมด้วย
สำหรับการวินิฉัยภาวะไตวาย แพทย์จะใช้การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ร่วมกับการตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อประเมินว่าเป็นไตวายชนิดไหนและมีระดับการทำงานของไตเหลืออยู่เท่าไหร่ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งการรักษาหากเข้าสู่ภาวะไตเสื่อมระยะสุดท้ายแล้ว แพทย์จะพิจารณาบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือการล้างไตทางช่องท้อง โดยจะต้องเปลี่ยนน้ำยา 4 ครั้งต่อวัน ทั้ง 2 วิธี ผู้ป่วยจะต้องทำต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเพราะยังไม่มีการรักษาที่สามารถทำให้ไตที่เสียหายกลับมาทำงานได้เป็นปกติ แต่หากได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเพื่อทดแทนไตเดิม ก็สามารถหยุดฟอกไตได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีชีวิตยืนยาวกว่าการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีอื่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ภาวะไตวายเรื้อรังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อไตเสียหายเป็นเวลานานจนเกิดพังผืดในไต คล้ายแผลเป็นจำนวนมาก การรักษาจึงทำได้แค่เพียงชะลอการเสื่อมของไตให้เข้าสู่ระยะที่ต้องฟอกไตให้ช้าที่สุด ในขณะที่ไตวายเฉียบพลันอาจสามารถรักษาให้หายขาดและฟี้นฟูการทำงานของไตให้กลับเป็นปกติได้ หากมาพบแพทย์โดยเร็วหรืออย่างช้าไม่เกิน 3 เดือนหลัง เริ่มมีอาการ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้เกิน 3 เดือน โดยไม่ได้รับการรักษาก็จะกลายเป็นโรคไตเรื้อรังได้เช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี