การมีสุขภาพที่ดี เป็นเรื่องพื้นฐานของชีวิต ซึ่งการดูแลสุขภาพ การแพทย์ และสาธารณสุข ต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการดูแลสุขภาพ จากสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ได้ยกระดับการรักษาพยาบาลของผู้คนทั่วโลกให้ดีขึ้นขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ ทั้งโรคระบาด โรคอุบัติใหม่ หรือแม้แต่ชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปของประชากรโลก ที่จำเป็นต้องพึ่งพาการอุปโภค บริโภคในปริมาณอันมหาศาลและส่งผลเสียต่อสุขภาพ นำมาซึ่งความต้องการบุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องมากด้วยจำนวนและคุณภาพที่ดี พร้อมจะดูแลสุขภาพของผู้คน ความท้าทายนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่เฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ด้วยเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนในปัจจุบัน การรักษาทางเลือก หรือการออกกำลังกายในฟิตเนส ก็กลายมีบทบาทสำคัญต่อการดูแลสุขภาพ รวมไปจนถึงสถานศึกษาที่ทำหน้าที่ผลิตบุคลากรให้แก่สังคมด้วย
แม้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีด้านสุขภาพมากมาย แต่การจะใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงนั้น จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความชำนาญของบุคลากร ศ.พญ.จิรพร เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีคณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เปิดเผยว่าเรื่องบุคลากรก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องแก้ โดยเฉพาะนักรังสีเทคนิค ซึ่งประเทศเราควรต้องมีนักรังสีเทคนิค 6,000-7,000 คน จึงจะเพียงพอ แต่ปัจจุบันที่เรียนจบทางนี้มีอยู่ราว 5,000 คน แต่อยู่ในอาชีพนี้จริงๆ เพียง 4,000 กว่าคนเท่านั้น เกือบครึ่งอยู่ในโรงพยาบาลเอกชน ที่เหลือประจำอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ของจังหวัดต่างๆ แต่โรงพยาบาลขนาดรองลงไปยังขาดแคลนอยู่มาก หลายที่จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่ไม่ได้จบด้านนี้โดยตรงมาทำหน้าที่
ศ.พญ.จิรพร เหล่าธรรมทัศน์
“รังสีเทคนิคมีบทบาทในการวินิจฉัยโรคอย่างมาก อย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือการใช้ผลเอกซเรย์และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ประกอบการวินิจฉัยและรักษาไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันผลจากการทำเอกซเรย์CT หรือ MRI สามารถอ่านผลแบบดิจิทัลได้ ทำให้รังสีแพทย์สามารถดูผลจากระยะไกลได้ สามารถส่งผลไปยังโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาได้ แต่การจะได้ภาพที่เหมาะสมเพียงพอต่อการวินิจฉัยก็จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของนักรังสีเทคนิค ในการทำให้ภาพเหล่านั้นออกมา การแพทย์ยุคนี้เรามีเครื่องมือที่ดีขึ้นมาก แต่หากไม่มีทักษะและความชำนาญ ต่อให้เครื่องมือที่ใช้จะแพงแค่ไหน หรือมีเทคโนโลยีดีแค่ไหน ก็อาจกลายเป็นความเปล่าประโยชน์
ปัจจุบันประเทศไทยผลิตนักรังสีเทคนิคได้เพียงปีละ 500 คน และจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 700-800 คน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการบุคลากรเติบโตขึ้นทุกปี ราวปีละ 5-8% จากความต้องการ 7,000 คน ซึ่งหากเรายังผลิตได้เท่านั้นก็ทิ้งห่างจากความต้องการจริงๆของสังคมอยู่หลายปี พอมองกลับไปที่ปัญหา ในฐานะที่เราเป็นหน่วยงานการศึกษา เราพบว่าปัจจัยสำคัญที่จะแก้ปัญหา คือ ต้องสร้างครูอาจารย์ที่จะมาสอนให้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาทางคณะเราเองก็ให้ทุนนักศึกษาเต็มจำนวน มีมาตรการในการจูงใจให้นักรังสีเทคนิคอยากศึกษาต่อ เพื่อมาเป็นอาจารย์ มีการปรับปรุงค่าตอบแทนให้เหมาะสม อีกปัจจัยหนึ่งคือการปรับในเชิงนโยบาย หรือกฎหมายของรัฐ เนื่องจากมีการกำหนดไว้ว่าอัตราส่วนครู 1 คน จะสอนนักศึกษาได้ 8 คน หากรัฐมีการผ่อนปรน โดยที่ไม่กระทบคุณภาพการเรียนการสอน ก็จะช่วยติดปีกให้เราสร้างนักรังสีเทคนิคได้พอกับความต้องการ”
ขณะที่ นักอัลตราซาวนด์ หรือ Sonographer อีกอาชีพหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างมากในต่างประเทศ เป็นอาชีพที่ผสานความเชี่ยวชาญของนักรังสีเทคนิค กับนักอัลตราซาวนด์ ซึ่งในประเทศที่นักรังสีเทคนิคไม่ขาดแคลนก็จะมาศึกษาและฝึกฝนการทำอัลตราซาวนด์เพื่อเป็น Sonographer เพราะนักรังสีเทคนิคนั้นจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องกายวิภาคและพยาธิสภาพเป็นพื้นฐานอย่างดี ซึ่งอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ได้รับค่าตอบแทนสูง และกลายมาเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ได้รับความนิยมในออสเตรเลีย อเมริกา ประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศในเอเชีย อย่างสิงคโปร์
“อัลตราซาวนด์ มีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากในการรักษา เดี๋ยวนี้เครื่องอัลตราซาวนด์มีราคาไม่แพง และถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะในสูตินารีแพทย์อีกต่อไป เช่น ศัลยแพทย์หลอดเลือด วิสัญญีแพทย์ แพทย์ที่รักษาหูคอจมูก แพทย์รักษาต่อมไร้ท่อ การผ่าตัดช่องท้อง เป็นต้น แต่การจะทำอัลตราซาวนด์ให้ดี ต้องอาศัยการเรียนรู้และฝึกฝน โรงเรียนนักอัลตราซาวนด์ทางการแพทย์ ของคณะเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่เราเปิดขึ้นเพื่อให้พร้อมรับมือกับความต้องการบุคลากรที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ ด้วยความร่วมมือกับ Monash University ประเทศออสเตรเลีย เราหวังว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถเติมเต็มความต้องการนักอัลตราซาวนด์ 1,250 อัตรา ให้กับโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศไทยได้ ลดภาระของแพทย์ในการตรวจรักษา รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์สามารถมาเรียนเพื่อต่อยอดความรู้ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในวินิจฉัยและการรักษาผู้ป่วย ทั้งในด้านบริการรักษา และเชิงรุกในการค้นหาโรคระยะเริ่มต้น ทำให้ป้องกันและรักษาให้หายขาดได้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี