ทันตแพทย์พิทักษ์ ไชยเจริญ สมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา แสดงความเป็นห่วงต่อปัญหาการเข้าถึงการรักษาโรคช่องปากและฟันของประชาชนที่มีความลำบากและได้รับผลกระทบทำให้เข้าถึงบริการรักษาด้านทันตกรรมได้ยากขึ้นในช่วงการระบาดอย่างยาวนานของไวรัสโคโรนา COVID-19 นี้ จนอาจนำมาสู่ปัญหาโรคช่องปากและฟันมีความรุนแรงและลุกลามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นแนวโน้มภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19ซึ่งเกิดการระบาดเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานมามากกว่า 9 เดือน ตั้งแต่ทางการจีนได้แจ้งเกิดการระบาดของ COVID-19 ต่อองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นต้นมา
แม้ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 จะถูกควบคุมได้เป็นอย่างดี และผู้ติดเชื้อที่พบใหม่
ส่วนใหญ่และเกือบทั้งหมดของผู้ติดเชื้อ เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และอยู่ในการกักตัว (State Quarantine) รวมทั้งดูแลรักษาในสถานพยาบาลของรัฐบาล แต่หากมองสถานการณ์ภาพรวมทั้งโลกแล้ว การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 ในต่างประเทศหลายๆ ประเทศยังมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่องโดยในหลายประเทศมีทิศทางการแพร่ระบาดทั้งที่เรียกว่า การระบาดระลอกสอง Second Wave หรือบางประเทศเป็นการระลอกแรกที่รุนแรง ต่อเนื่องและการระบาดขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยเห็นได้ชัดจากจำนวนผู้ติดเชื้อรวมและจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นรวมทั่วโลก มียอดสะสมผู้ติดเชื้อถึงปัจจุบันร่วม 35 ล้านคน และมีตัวเลขผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวมเกิน 1 ล้านรายแล้วซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงขึ้นมากกว่าในช่วงแรกของการระบาดในเดือนมีนาคม, เมษายน, พฤษภาคม ซึ่ง ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม มีตัวเลขสะสมผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมประมาณ 6.1 ล้านคนขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวม3.7 แสนราย
ทันตแพทย์พิทักษ์ ไชยเจริญ
ซึ่งแนวโน้มจากตัวเลขรวมดังกล่าว ทำให้เราควรจะต้องตระหนักให้มาก และเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่ยังเกิดอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบโดยเร็ว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งที่น่าสังเกตในหลายประเทศที่มีการแพร่ระบาดรุนแรงต่อเนื่อง มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อมีจำนวนมากเกินกว่าที่โรงพยาบาลจะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลได้ทั้งหมด เพราะเกินทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ และเกินกว่าจำนวนเตียงผู้ป่วยที่จะรองรับได้ ในหลายประเทศแนวทางการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 แต่อาการไม่รุนแรง จึงถูกแนะนำให้กลับมาดูแลตนเองที่บ้าน ซึ่งนั้นเท่ากับการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการแพร่เชื้อกระจายออกไปเพิ่มเติมอีกให้บุคคลใกล้ชิด,รอบข้าง แม้จะระมัดระวังเต็มที่
แต่ด้วยข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ป้องกันเทคนิค, ความเชี่ยวชาญส่วนบุคคลของญาติผู้ติดเชื้อที่ต้องดูแลกันเอง ซึ่งด้วยวิธีการดังกล่าว ความสำเร็จในการจำกัดการติดเชื้อ การเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ผู้ป่วยหายเร็วที่สุด ผลสำเร็จนั้นแตกต่างชัดเจนจากการการสร้างโรงพยาบาลชั่วคราวอย่างเพียงพอ เช่น ความสำเร็จในการควบคุม COVID-19 ในประเทศจีนอย่างได้ผล ในการทั้งจำกัดวงและจำกัดช่วงเวลาในการระบาดได้ในที่สุด
ด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังมีความรุนแรงดังกล่าวในหลายประเทศ ทั้งยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีท่าทีที่จะยุติสถานการณ์นี้ลงได้ จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่ผลกระทบจะต้องมีผลสะท้อนถึงประเทศไทยด้วย เพราะการเชื่อมต่อกับทุกๆ ประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น จะเห็นว่าประเทศไทย เราต้องมีความระมัดระวัง เข้มข้นในการป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดที่ควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศทุกๆ ทาง หรือการระบาดระลอกสอง Second Waveโดยต้องการ์ดไม่ตกนั้นเอง
และด้วยความยาวนานของการเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา COVID-19 จึงเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเกิดผลกระทบถึงการเข้าถึงการรับบริการรักษาทั้งโรคทั่วไป และรวมถึงโรคช่องปากและฟันของประชาชนที่จะมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ทั้งความรู้สึกวิตกกังวลเรื่องความเสี่ยงจากปัจจัยต่างๆ ที่จะมาโรงพยาบาลในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีการระบาดในประเทศไทยในช่วงแรกๆ หรือ การเพิ่มความเข้มข้นการคัดกรอง, การนัดหมาย มาตรการต่างๆ ที่จะลดความเสี่ยงของสถานพยาบาลเอง จึงส่งผลกระทบต่อการเข้ารับบริการการรักษา, การนัดหมายรักษาต่างๆ ของประชาชนไปด้วย ทั้งมีการเลื่อนนัด,การตรวจเช็ค, การรักษาต่างๆ ออกไป ซึ่งหลายๆ กรณีอาจเพิ่มความเสี่ยง ทำให้ความรุนแรง การลุกลามของโรคมีมากขึ้น
ในกรณีโรคช่องปากและฟัน การห่างการรักษาออกไป ก็มีความเสี่ยงต่อการเพิ่มความรุนแรงการลุกลามของโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคติดเชื้อจากฟัน, โรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์ โรคฟันผุก็มีความเสี่ยงที่จะรุนแรง ลุกลามมากขึ้น สุดท้ายนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการสูญเสียฟันหลายๆ ซี่มากขึ้น ทำให้คนไข้เสียความสามารถในการเคี้ยวอาหาร ทำให้เกิดความลำบากในการทานอาหารและการเคี้ยวอาหารมากยิ่งขึ้น นำไปสู่ผลกระทบกับสุขภาพร่างกายโดยรวมเป็นอย่างมาก ทำให้ร่างกายอาจเสื่อมโทรมเร็วขึ้นจากภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็น
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่การบริการรักษาด้านทันตกรรมจะต้องมีการพัฒนา ปรับปรุงวิธีการที่จะรับมือให้เหมาะสม ตั้งแต่การคัดกรองคนไข้ที่มีมาตรฐานสูงและมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงต่างๆ เพิ่มความปลอดภัยจากสภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งของผู้รักษาคือ ทันตแพทย์ ทันตบุคลากรทุกๆ คน ถึงคนไข้ทางทันตกรรมทุกๆ คนที่เข้ามารับการรักษาบริการ เนื่องจากการรักษาด้านทันตกรรมมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางฝอยละอองจากเครื่องมือค่อนข้างสูง ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไข้และประชาชน ที่จะต้องอยู่กับสภาวการณ์ที่ยืดเยื้อครั้งนี้ ขณะเดียวกันทุกๆ ฝ่าย ก็ต้องไม่เพียงแต่ตั้งรับสถานการณ์การระบาดเท่านั้น แต่ต้องเดินหน้าโดยการกระตุ้นให้เกิดการตระหนักต่อการส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟัน รวมถึงสุขภาพแบบองค์รวม ควบคู่กับการป้องกันการระบาดของ COVID-19 อย่างเข้มข้น เพื่อที่จะเกิดการยกระดับ การดูแลสุขภาพตนเองของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ซึ่งอายุน้อย ฝึกได้ง่าย ถ้าสามารถเรียนรู้ และทำเป็นนิสัย นอกจากจะเกิดผลดีด้านสุขภาพในปัจจุบันแล้ว ยังจะส่งผลดีไปตลอดจนเติบโตต่อๆ ไป มีฟันสุขภาพดี เคี้ยวอาหารได้ดีตลอดทุกช่วงวัยของตนเอง
อย่างน้อยจะทำอย่างไรที่จะต้องรณรงค์ให้ประชาชนต้องตระหนักถึงการดูแลสุขภาพข่องปากและฟันของตนเอง ด้วย 1.การแปรงฟันอย่างถูกต้อง และต้องแปรงฟันอย่างน้อย 2 เวลาคือเช้า-เย็น หรือ หลังตื่นเช้าและ ก่อนนอนทั่วทั้งปาก ครบฟันทุกๆ ซี่ ทุกๆ วัน 2.ต้องมีการฝึกการแปรงให้ถูกวิธีและต้องรู้จักเลือกแปรงสีฟัน ยาสีฟันที่เหมาะสมเช่น ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ เพราะจะช่วยลดโรคฟันผุได้ 3.การเลือกใช้ฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมที่จะช่วยลดอัตราการเกิดฟันผุอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต 4.ทันตแพทย์ รวมถึงทันตบุคลากรทั้งหมดจึงควรต้องช่วยกัน หาวิธีการที่จะทำอย่างไร จะสามารถส่งเสริมจะให้ประชาชนทุกๆ คน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา จะประสานงานอย่างไร ที่จะให้ โรงเรียน สถานศึกษา มีส่วนร่วมในการส่งเสริมป้องกันมากที่สุดในการที่จะกระตุ้น ฝึก สร้างนิสัยการดูแลตนเองในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ซึ่งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค เป็นกุญแจสำคัญที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดหากสามารถทำได้ เพราะการป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้นั้นได้ทำให้เห็นแล้วว่าดีกว่า, ง่ายกว่า, ประหยัดกว่า ต้นทุนน้อยกว่าการที่จะต้องมารักษาตามสภาพความเจ็บป่วยเป็นอย่างมาก ทั้งยังคงสุขภาพที่แข็งแรงเอาไว้ได้
โดยเฉพาะในช่วงปี 2563 นี้ เป็นอีกหนึ่งครั้งที่โลกต้องเผชิญกับโรคอุบัติใหม่อย่างติดเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจร้ายแรงที่มีความสามารถ, ความเร็วในการแพร่กระจายของโรค สูงมากที่สุดโรคหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของโลก สร้างความสั่นสะเทือนให้กับระบบสาธารณสุขของทุกๆ ประเทศในโลกใบนี้ และสร้างผลกระทบ ความเดือดร้อนอย่างรุนแรง อย่างกว้างขวาง ต่อทุกๆ อาชีพ ทุกๆ วงการ ทุกๆ ธุรกิจ และในแทบจะทุกๆ ประเทศในโลกร่วม 200 ประเทศ ที่ต้องมีชะตากรรมร่วมกัน และต้องร่วมสามัคคีกัน ร่วมมือกันต่อสู้ด้วยความอดทน และเข้มแข็ง และหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้นต่อไปซึ่งเราอาจหวังว่าจะเกิดมีวัคซีนในวันข้างหน้า
แต่เราเองก็ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หาหนทางที่เหมาะสมและที่ดีที่สุดจะรับมือกับโรคระบาดครั้งนี้ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตที่อาจมีสิ่งที่เกิดบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในรูปแบบอื่นๆ ที่เหนือความคาดหมาย วันนี้ทุกฝ่าย ทุกประเทศจึงต้องรีบปรับตัว เพื่อแก้ปัญหาครั้งนี้ และมีความพร้อมที่สุดสำหรับอนาคตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19...โรคอุบัติใหม่ในทศวรรษนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี