เด็กนักเรียนของเราทุกคนต้องมีทักษะที่หลากหลายรอบด้านเพื่อให้คิดวิเคราะห์เป็นระบบอันนำไปสู่การแก้ปัญหาในชีวิตของเขาได้และต้องเข้าใจและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างเหมาะสมเพื่อให้สามารถแข่งขันและเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้เหมาะสมกับสภาวการณ์โลกยุคปัจจุบัน
รายการแนวหน้าวาไรตี้สัปดาห์นี้ ดร.เฉลิมชัย ยอดมาลัย นำคุณไปสนทนากับ ดร.คุณหญิงกัลยาโสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถึงความตั้งใจผลักดันให้เด็กไทยมีทักษะการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงได้อย่างสมเหตุสมผลในสังคมโลกยุคปัจจุบัน
l กราบเรียนถามความคืบหน้าของ Coding ที่คุณหญิงพยายามนำมาพัฒนาการศึกษาไทย ล่าสุดดำเนินไปถึงขั้นตอนไหนแล้วครับ
คุณหญิงกัลยา : Coding อาจไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมากนักในสังคมไทยเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันคำนี้เป็นที่รับรู้และเข้าใจได้ในวงกว้าง เพราะสาธารณชนเริ่มประจักษ์ในผลสัมฤทธิ์ของ Coding เนื่องจากผู้ปกครองนักเรียนเห็นชัดว่าสิ่งนี้ทำให้ลูกหลานเรียนหนังสือได้ดีขึ้น เข้าใจได้รวยเร็วขึ้น และนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้มากขึ้น หลายคนถามว่าทำไมต้องใช้ภาษาอังกฤษ ขอตอบว่าคำนี้เป็นคำสากลที่มนุษยโลกเข้าใจตรงกันได้เร็วที่สุด เด็กไทยในยุคนี้ต้องมีความรู้หลายภาษา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ เช่น อังกฤษ และภาษาทางด้านวิทยาศาสตร์ มนุษย์ในยุคศตวรรษ 21 จำเป็นต้องเข้าใจภาษาสำหรับการติดต่อกับเครื่องไม้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะโลกยุคนี้ไม่สามารถปฏิเสธเครื่องมือทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้ เด็กไทยจึงต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้ตลอดเวลาโดยผ่าน Coding ซึ่งทำให้เกิดทักษะต่างๆ 5-6 ชนิด เพื่อการอยู่ได้อย่างเท่าทันสถานการณ์โลก Coding ที่เรานำมาสอนเด็กไทยมีทุกระดับตามความเหมาะสมของวัยที่ต่างกัน เช่น อนุบาล ประถมต้น ประถมปลายมัธยมต้น และมัธยมปลาย หลายคนถามว่าCoding ต้องใช้เครื่องมือที่มีราคาแพงใช่หรือไม่ตอบว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเสมอไป ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เสมอไป โดยเฉพาะ Unplug Coding ที่ไม่มีเครื่องมือใดๆ ในด้านคอมพิวเตอร์เลย ไม่ต้องลงทุนด้วย แต่สามารถสอนเด็กได้โดยใช้การเล่นตามวัยของเด็ก ใช้อุปกรณ์ที่หาได้ในชีวิตประจำวัน เรื่องนี้ สสวท. (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) เตรียมการไว้ให้แล้วทุกอย่าง กลับไปที่ Coding คือการเน้นให้เด็กคิดเป็น คิดอย่างมีระบบ มีตรรกะ วิเคราะห์ได้และคิดเชิงวิทยาศาสตร์ มีความเข้าใจให้หลักคณิตศาสตร์ วางแผนเป็นขั้นเป็นตอนในการดำเนินชีวิตประจำวัน และสามารถแก้ปัญหาที่ตนเองเผชิญได้อย่างมีหลักการ ดิฉันจึงเรียกว่าCoding for All, All for Coding ล่าสุดได้มีอบรมครูของเราไปครบทุกโรงเรียนแล้ว โดยครูที่อบรมมีจำนวนประมาณ 2 แสนคน เมื่อครูเข้าใจดีแล้ว ก็จะสามารถถ่ายทอดให้นักเรียนได้ต่อไป
l เท่าที่คุณหญิงได้รับทราบ ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยชื่นชมกับ Coding เพราะเห็นว่าลูกหลานสามารถเรียนหนังสือได้ดีขึ้น เขียนหนังสือเป็นเรื่องราวมากขึ้น พูดจามีเหตุมีผลมากขึ้น หลายคนเชื่อว่า Coding จะช่วยแก้ปัญหาการเรียนของไทยได้มากขึ้น คุณหญิงจะขยายความเรื่องนี้อย่างไรครับ
คุณหญิงกัลยา : เป็นเรื่องน่ายินดีค่ะและเป็นเรื่องจริงที่ผู้ปกครองนักเรียนจำนวนไม่น้อยมองเห็นความสำคัญเรื่องนี้ ดิฉันยืนยันว่ากระทรวงศึกษาธิการได้วางรากฐานการเรียนรู้เพื่อเด็กในศตวรรษที่ 21 ไว้แล้ว และเราเตรียมครูไว้อย่างเพียงพอกับการถ่ายทอดความรู้ด้านนี้ให้เด็ก ล่าสุดเรื่อง Coding ไม่ได้มีแค่ในเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น แต่มีคณะทำงาน Coding แห่งชาติ โดยมีรองนายกฯแต่อย่างไรก็ตาม เรายกระดับ Coding ไม่ใช่เฉพาะที่กระทรวงแล้วนะคะ เรามีกรรมการCoding แห่งชาติ โดยที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน และกำลังขยายไปกระทรวงอื่นๆ เช่น แรงงาน อุตสาหกรรม และวัฒนธรรม เพื่อเตรียมพร้อมให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยก้าวไปสู่สังคมดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อเราวางรากฐานให้กับเด็กนักเรียนทุกคนแล้ว ก็ต้องพัฒนาคนทุกคนในประเทศด้วย เพราะเรื่องนี้ทำให้คนทุกคนวางแผนเป็น คิดเป็นระบบ แก้ปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน เราคิดเรื่องนี้สำหรับนักเรียนที่กำลังจะจบการศึกษาระดับมัธยม 6 ว่าจะก้าวไปในหนทางใด จะเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับอื่นๆ หรือออกไปทำงาน เพื่อให้เขาสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้ เด็กที่มีพื้นฐาน Coding จะปรับชีวิตเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และทุกคนก็ต้องเรียนรู้เพื่อให้อยู่กับวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเหมาะสมด้วย เราไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีได้ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเกือบทุกรูปแบบ เราพยายามแนะนำให้เด็กทุกคนสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นเด็กเรียนดีเท่านั้น แต่เราต้องสนับสนุนให้ทุกคนเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยทั่วหน้ากันและในทุกระดับการศึกษาด้วย เรามีตัวย่อคือ STI เรียนสั้นๆ ว่าสติ คือวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) และนวัตกรรม (Innovation) สามสิ่งนี้จะทำให้ทุกคนนำพาประเทศของเราก้าวข้ามวิกฤติต่างๆ ได้
l ทราบว่าคุณหญิงมีอีกนโยบายที่ทำให้นักเรียนอาชีวศึกษาของไทย สามารถผลิตงานได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีส่วนพัฒนาพื้นที่ที่แต่ละคนอาศัยอยู่ ช่วยขยายความนโยบายด้วยครับ
คุณหญิงกัลยา : ดิฉันขออัญเชิญ พระราชดำรัสในหลวง รัชกาลที่ 9 มาใช้ประกอบค่ะ พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์ให้นักเรียนทุกคนเรียนจบแล้วมีงานทำ นักเรียนอาชีวะของเราสามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีมาก เพราะเขามีความรู้ในหลากหลายสาขา แล้วเขาก็อยู่ในสถานที่จริง โดยเฉพาะด้านการเกษตร ซึ่งเป็นอาชีพสำคัญของบ้านเรา เราจะเน้นการสร้างเกษตรกรยุคใหม่ที่มีทักษะแท้จริง ผลิตได้สินค้าเกษตรได้ผลดีมากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือช่วย เราพัฒนาให้เขาเป็น Digital Smart Farmers แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือวิทยาลัยเกษตรกรรม และวิทยาลัยเทคโนโลยีของเราคือแหล่งเรียนรู้ของชาวบ้านทั่วไปด้วย เปิดโอกาสให้กับคนทุกเพศทุกวัยเข้ามาเรียนรู้และฝึกอาชีพต่างๆ ได้เทอมละ 1 อาชีพ เมื่อเขามีอาชีพก็มีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม มีความมั่นคงในชีวิต คนไทยในยุคนี้ยังมีที่ดินเป็นของตนเอง เขาสามารถทำไร่ทำนาทำการเกษตรได้ เพราะบ้านเรามีความอุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ได้มากมาย ผู้ที่สำเร็จการอบรมกับวิทยาลัยจะได้ประกาศนียบัตรด้วยค่ะ ล่าสุดมีผู้คนให้ความสนใจมากมาย ทั้งข้าราชการ พนักงาน ครู นักเรียน และเกษตรกร รวมถึงผู้ที่ตกงานในช่วงวิกฤติโควิด-19 ด้วย เขาเข้ามารับการอบรมเพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ผู้ที่สนใจโครงการอบรมนี้สามารถติดต่อได้ที่วิทยาลัยเทคโนโลยี และวิทยาลัยเกษตรกรรมทุกแห่งนะคะ แล้วที่ดิฉันภูมิใจมากคือโครงการเกษตรประณีต 1 ไร่ 1 แสนบาทต่อเดือนซึ่งทำได้จริงแล้วนะคะ เมื่อเกษตรกรไทยมีรายได้ดีความเป็นอยู่ดีขึ้น สังคมของเราก็มั่นคงมากขึ้น ทุกคนมีกินมีใช้ สิ่งสำคัญสำหรับการเกษตรในบ้านเราคือน้ำที่ใดมีน้ำอุดมสมบูรณ์ ที่นั่นสามารถปลูกพืชทำการเกษตรได้ดี น้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการเกษตร ประเทศไทยมีน้ำในเป็นของขวัญจากธรรมชาติ ตามสถิติประเทศไทยมีน้ำฝนพอเพียงกับการทำเกษตร แต่ปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการน้ำ ยกตัวอย่างง่ายๆ ประเทศไทยมีฝนตก 100 หยด แต่เราเก็บได้เพียง 5.5 หยด ส่วนในภาคอีสานเก็บได้เพียง 3.5 หยด เราทิ้งน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการ จึงตั้งกองทุนการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปีและตลอดไป โดยใช้น้ำฝนเป็นต้นทุน เราต้องเก็บน้ำฝนไว้ให้ได้ การบริหารน้ำมีหลักพื้นฐานตามแนวพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 คือ 1.หาที่ให้น้ำอยู่ 2.หาที่ให้น้ำไหลไปรวมกัน 3.เก็บน้ำไว้ใต้ดิน พระองค์ท่านพระราชทานต้นแบบไว้ให้เราแล้ว เราสามารถทำตามได้โดยง่าย ส่วนกองทุนการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ ได้ดำเนินการแล้วโดยวิทยาลัยเกษตรกรรม 47 แห่ง เน้นการผลิตชลกรเพื่อการบริหารจัดการน้ำโดยชุมชนตามแนวพระราชดำริ ในพื้นที่นอกเขตชลประทานทั่วประเทศชลกรจะช่วยให้คนในชุมชนสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในยามฝนหลาก และแก้ปัญหาความแห้งแล้งในยามฝนทิ้งช่วงได้ ขอย้ำอีกครั้งว่าประเทศไทยของเรามีน้ำฝนมากมาย แต่ปัญหาใหญ่คือเราขาดประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซากทุกปี เมื่อเราสามารถบริหารจัดการน้ำได้แล้ว การผลิตสินค้าเกษตรของบ้านเราจะได้ผลดีตามมา และเมื่อเกษตรกรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ความมั่นคงของสังคมและประเทศไทยก็จะตามมา เราทุกคนก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เราสามารถทำเรื่องนี้ได้จริง เพราะเรามีแนวทางพระราชทานของในหลวง รัชกาลที่ 9
คุณจะได้พบกับรายการดีที่ครบครันด้วยสาระและความบันเทิง รายการแนวหน้าวาไรตี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์เวลา 16.00-16.25 น. ทางโทรทัศน์ TNN 2 ช่อง 784 ดิจิทัลทีวี หรือ True Visions 8 และชมรายการ ย้อนหลังได้ที่ YouTube แนวหน้าวาไรตี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี