“ไฟเซอร์”หนึ่งในบริษัทผู้วิจัยยาและชีวเวชภัณฑ์ระดับโลกผนึกกำลัง ภาคีเครือข่ายเดินหน้ายุทธศาสตร์ลดปัญหาเชื้อดื้อยา พร้อมร่วมรณรงค์สนับสนุนการใช้ยาปฏิชีวนะถูกวิธี เร่งสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ เนื่องในสัปดาห์เชื้อดื้อยาโลก(World Antimicrobial Awareness Week 2020)
ดร.นพ. นิรุตติ์ ประดับญาติ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance: AMR) เป็นปัญหาระดับโลกที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ เนื่องจากคร่าชีวิตคนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคน สัตว์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจในวงกว้าง และนับวันปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019หรือโควิด-19 ทำให้ระบบ หรือกลไกการทำงานของสถานพยาบาล ต้องไปสนับสนุนการบริการด้านการแพทย์ในช่วงการระบาดบุคลากรทางการแพทย์และทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่จำกัด อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการการใช้ยาต้านจุลชีพในสถานพยาบาลนอกจากนี้ลักษณะธรรมชาติของการรักษาโควิด-19 เองที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาลมากขึ้นตลอดจนองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคที่ยังมีจำกัดในช่วงแรกๆ ของการระบาด ทำให้การวินิจฉัยแยกโรคมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้อาจมีการใช้ยาต้านจุลชีพเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยในด้านลบดังที่กล่าวมา แต่ก็ยังมีปัจจัยในด้านบวก อาทิการสร้างความตระหนักในเรื่องของการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ทำให้มาตรการการป้องกันโรค อย่างเช่น การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนตัว การล้างมือ หรือการใส่หน้ากากอนามัย มีการปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลไกการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลซึ่งจะมีผลต่อการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพมีสถานการณ์ดีขึ้น”
“ไฟเซอร์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในระบบสุขภาพ มองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาอย่างเป็นระบบ คือการการทำงานร่วมกันของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วน ในส่วนของไฟเซอร์ได้ร่วมสนับสนุนตั้งแต่ต้นทาง คือ การวิจัยและพัฒนายาปฏิชีวนะให้ทันกับความต้องการในสถานการณ์ของเชื้อดื้อยารวมถึงทำอย่างไรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีมาตรการในการกำกับดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นจริงๆ ในขณะเดียวกันได้เน้นการวิจัยที่จะเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ เช่น การติดตามสถานการณ์เชื้อดื้อยา การจัดทำฐานข้อมูล การเฝ้าระวังเชื้อดื้อต่อยาปฏิชีวนะ(Antimicrobial ResistanceSurveillance Program) ที่ทำในระดับโลก ฯลฯ และสุดท้ายสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การนำองค์ความรู้จากภาควิชาการไปสู่ประชาชนผู้ใช้ยาโดยตรง เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงสถานการณ์เหล่านี้ และหาทางออกร่วมกันได้”
“สำหรับไฟเซอร์ ประเทศไทย จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ซึ่งเราได้มุ่งเน้น 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การติดตามสถานการณ์เชื้อดื้อยา เช่น โครงการ ATLAS (Antimicrobial Testing Leadership and Surveillance) ซึ่งเป็น Global SurveillanceProgram ที่มีขนาดใหญ่ในระดับโลก โดยได้เชิญสถาบันการศึกษาที่เป็นโรงเรียนแพทย์ในประเทศไทยเข้าร่วมโครงการนี้ด้วยเพื่อที่จะมีข้อมูลแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์เชื้อดื้อยาในประเทศไทย ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับประเทศอื่น รวมถึงสถานการณ์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ 2.การให้การสนับสนุนสถานพยาบาล ในการจัดระบบกำกับการดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพในโรงพยาบาล ซึ่งในกระบวนการสนับสนุนนี้มีทั้งกิจกรรมวิชาการ ผ่านการให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานสำหรับสถานพยาบาล และยังมีการสนับสนุนการเข้าถึงสื่อการสอนออนไลน์ ที่ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ที่เราได้ร่วมมือกับสถาบันทางวิชาชีพชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อที่จะได้มีองค์ความรู้ที่ทันสมัยและสามารถนำไปปฏิบัติจริงในหน่วยงานได้ 3.การสร้างความตระหนักรู้ในกลุ่มของประชาชนทั่วไป กลุ่มนักศึกษา ที่จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปสื่อสารและต่อยอด โดยได้ร่วมมือกับ THOHUN(Thailand One Health University Network)ในการจัดอบรม เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องปัญหาเชื้อจุลชีพดื้อยาทั้งในนักศึกษาที่เรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงสายอื่นๆ ซึ่งจะไปต่อยอดด้วยการอบรมบุคลากร เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่อไป”
ศ.นพ.อนุชา อภิสารธนรักษ์ แพทย์อายุรศาสตร์ โรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) กล่าวถึงสถานการณ์เชื้อดื้อยาในโอกาสร่วมเวทีเสวนาAntimicrobial Resistance (AMR) in the Era of Post COVID-19 ภายในงาน Bio Asia Pacific 2020 ว่า “ปัญหาเชื้อดื้อยา เป็นปัญหาที่มีมานานมากแล้ว ซึ่งในประเทศไทยเริ่มเป็นปัญหาอย่างชัดเจน ตั้งแต่ก่อนปี 2000 แต่หลังจากปี 2000 เริ่มมีเชื้อที่ดื้อต่อยาที่เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อได้กว้าง มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้แตกต่างกับต่างประเทศมากนัก แต่ระบาดวิทยาอาจจะมีความแตกต่างกัน ถ้าหากคนไข้มีการติดเชื้อที่ดื้อยา จะมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก ถึง 20-50% ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและโรคประจำตัวของคนไข้”
“เชื้อดื้อยาถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญมากแต่ประชาชนยังไม่ตระหนักรู้เทียบเท่ากับสถานการณ์ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19ในปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการควบคุมโรค หากเราใช้แนวทางเดียวกันมาควบคุมและป้องกันเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลก็น่าที่จะสัมฤทธิผลได้มากขึ้น เช่น การล้างมือพบว่าจากเดิมที่การล้างมือของบุคลากรทางการแพทย์มีอัตราค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อมีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เข้ามา อัตราการล้างมือเพิ่มสูงขึ้นถึง 90% ซึ่งก็จะสามารถลดโอกาสที่จะเกิดการแพร่กระจายของเชื้อที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะในโรงพยาบาลได้เช่นเดียวกับการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลและการใส่เครื่องป้องกันอย่างถูกวิธี จะเห็นได้ว่าการป้องกันนั้นมีหลายมิติที่คล้ายกัน ที่ผ่านมาไทยเอง ถือได้ว่า เป็นประเทศที่มีการบูรณาการทำงานแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะอย่างเป็นระบบ มีหลายหน่วยงานที่เข้ามามีบทบาทในการลดการเกิดเชื้อดื้อยาในประเทศ มีการออกนโยบาย การให้การศึกษา มีความพยายามในการควบคุมการขายยาปฏิชีวนะในร้านขายยา ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ ในโรงพยาบาล และมีการให้คำปรึกษาจากแพทย์ในการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งประเทศไทยทำได้ในระดับที่ดี และเชื่อว่าดีกว่าในหลายประเทศในทั่วโลก”
ท้ายที่สุด ศ.นพ.อนุชา ได้ฝากคำแนะนำเรื่องการเลือกใช้ยาเพื่อลดความเสี่ยงเชื้อดื้อยาในโอกาสรณรงค์สัปดาห์เชื้อดื้อยาโลก (World Antimicrobial Awareness Week 2020) ระหว่างวันที่18-24 พฤศจิกายน 2563 ว่า“ความจริงเราอยู่ในชุมชน คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในชุมชนโรคส่วนใหญ่ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ อาการเจ็บป่วยอย่างเช่น อาการเจ็บคอหรือเป็นไข้ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส และมีน้อยกว่า 10% ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ต้องการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เพราะฉะนั้นหากเรามีองค์ความรู้ที่ถูกต้องและนำมาใช้ โดยที่ไม่กลัวจนเกินเหตุก็จะสามารถจำกัดการใช้ยาปฏิชีวนะได้มากขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความรู้ทั้ง แก่ประชาชนผู้ให้บริการทางสาธารณสุข ร้านขายยา เกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม และในกลุ่มคนที่ได้รับเชื้อไวรัสที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วย ยาปฏิชีวนะ แต่สำหรับกลุ่มคนที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแบคทีเรีย หรือกลุ่มคนที่อยู่ในโรงพยาบาลและมีความจำเป็นที่ต้องได้รับยาปฏิชีวนะ อาจจำเป็นต้องดูข้อมูลระบาดวิทยาในแต่ละท้องถิ่นเพื่อใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างเหมาะสม ไม่ให้มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อกว้างมากจนเกินไป หากให้ยาปฏิชีวนะแล้วเราสงสัยว่าเป็นเชื้อดื้อยา เราสามารถให้ยาที่มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อได้กว้าง โดยถ้าเราเก็บผลเพาะเชื้อหากได้ผลเพาะเชื้อกลับมา เราสามารถนำผลเพาะเชื้อไปปรับเปลี่ยนเป็นยาที่มีฤทธิ์ครอบคลุมเชื้อที่แคบลงได้ จากนั้นก็ควรที่จะให้ยาในระยะเวลาที่เหมาะสมไม่ให้ยาวมากเกินไป หากคนไข้หายป่วยแล้วก็ควรให้หยุดยาปฏิชีวนะนั้นๆ ตามข้อบ่งชี้และสุดท้ายเป็นสิ่งที่อยากเน้นย้ำและสำคัญมาก คือ การป้องกัน ซึ่งส่วนใหญ่ทำได้ง่ายที่สุดโดยการล้างมือ รวมถึงการใส่เสื้อป้องกันเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล และการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลซึ่งหากทำไม่ถูกวิธีก็อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุในการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาจากผู้ป่วยคนหนึ่งไปสู่ผู้ป่วยอีกคนหนึ่งได้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี