อาทิตย์นี้ได้ตามรอยสยามไปกับเรื่องราวของพระเจ้าเสือไปที่วัดโพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร หลังจากที่สำนักศิลปากรที่ 6 สุโขทัย กรมศิลปากร ได้ขุดค้นแหล่งโบราณสถานเพิ่มเติม จนทำให้เป็นแหล่งศึกษาสำคัญของท้องถิ่นไปแล้ว ด้วยวัดโพธิ์ประทับช้างแห่งนี้เป็นวัดที่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ว่าพระเจ้าเสือ กษัตริย์อยุธยา แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งครองราชย์ในช่วง พ.ศ.2246-2251 นั้น ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นในบริเวณสถานที่ประสูติที่บ้านโพธิ์ประทับช้างในพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าเป็นพระเจ้าเสือเป็นพระราชโอรสลับในสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับพระสนมซึ่งเป็นพระราชธิดาของพญาแสนหลวง เมืองเชียงใหม่ (คำให้การขุนหลวงหาวัด) ออกพระนามว่าพระราชชายาเทวี หรือ เจ้าจอมสมบุญ แต่คำให้การชาวกรุงเก่าว่า นางกุสาวดี ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พระราชทานพระสนมนี้ให้แก่พระเพทราชาเมื่อครั้งเป็นเจ้ากรมช้าง ทั้งคำให้การขุนหลวงหาวัดและคำให้การชาวกรุงเก่า มีเนื้อหาสอดคล้องกันว่านางเป็นสนมลับของพระนารายณ์แม้จะต่างกันเพียงชื่อของนาง ในพระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระชาติกำเนิดแตกต่างไปว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงทำศึกสงครามกับเมืองเชียงใหม่แล้วได้ราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นสนม แต่นางสนมเกิดตั้งครรภ์ พระองค์ได้ละอายพระทัยด้วยเธอเป็นนางลาว พระองค์จึงได้พระราชทานแก่พระเพทราชาดังความว่า แล้วเมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาจากเมืองเชียงใหม่นั้น พระองค์เสด็จทรงสังวาสด้วยพระราชธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ และนางนั้นก็ทรงครรภ์ขึ้นมา ทรงพระกรุณาละอายพระทัย จึงพระราชทานนางนั้นให้แก่พระเพทราชา แล้วดำรัสว่านางลาวนี้มีครรภ์ขึ้นมา เราจะเอาไปเลี้ยงไว้ในพระราชวังก็คิดละอายแก่พระสนมทั้งปวง และท่านจงรับเอาไปเลี้ยงไว้ ณ บ้านเถิด และพระเพทราชาก็รับพระราชทานเอานางนั้นไปดูแลเลี้ยงไว้
เมื่อพระเจ้าเสือขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์จึงสร้างวัดโพธิ์ประทับช้างที่บ้านเกิด วัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านเก่า หันหน้าลงสู่แม่น้ำน่านที่อยู่ทางทิศตะวันตกด้วยก่อนนั้นใช้เป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่ทัพพระนารายณ์ ได้ล่องเรือผ่านมา และได้ตั้งบ้านให้พระสนมจากเมืองเชียงใหม่ไว้ที่นี่ อยู่จนพระสนมคลอดพระโอรสคือ นายมะเดื่อ จากเหตุเกิดใต้ต้นมะเดื่อ เมื่อเติบโตแล้วจึงรับมารับราชการอยู่กับพระเพทราชา มีนามที่รู้จักกันดีว่า ขุนสรศักดิ์
สำหรับวัดโพธิ์ประทับช้างแห่งนี้สร้างเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ มีพระอุโบสถเป็นประธานอยู่กึ่งกลางเขตพุทธาวาสพระอุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ตั้งอยู่บนฐานไพที มีมุขเด็จด้านหน้าและด้านหลัง ประตูตกแต่งสวยงามด้วยซุ้มยอดบุษบก ผนังอุโบสถเจาะช่องหน้าต่างเป็นช่องแสงแคบๆ ให้แสงสว่างเข้าด้านใน มีเสารับน้ำหนักโครงสร้าง ซุ้มหน้าต่างประดับลวดลายปูนปั้นรูปพันธุ์พฤกษา นอกอุโบสถมีใบเสมาทั้ง ๘ ทิศ รูปแบบสถาปัตยกรรมพระอุโบสถ เป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่นิยมศิลปะแบบยุโรป ภายในพระอุโบสถตั้งฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นสด เรียกกันว่า “หลวงพ่อโต” แสดงปางมารวิชัย รอบโบสถ์นั้นมีเจดีย์รายและเจดีย์ย่อมุมอยู่ด้านหน้ากับวิหารน้อย ด้านขวาเป็นเขตที่มีอาคารนัยว่าเป็นตำหนักของพระเจ้าเสือถัดไปเป็นเขตสังฆาวาสที่มีอาคารหรือกุฏิสำหรับพระสงฆ์จำพรรษา ส่วนด้านซ้ายของเขตพุทธาวาส ด้านหน้านั้นมีกำแพงล้อมรอบเป็นบริเวณกว้างตรงกลางสร้างศาลาขนาดใหญ่ น่าจะเป็นส่วนที่ถูกใช้ในส่วนติดตามพระเจ้าเสือในครั้งมากำกับการก่อสร้างวัดแห่งนี้
ลักษณะพิเศษของวัดนี้คือฐานปรางค์และเจดีย์ย่อมุมของวัดโพธิ์ประทับช้าง มีการเจาะช่องเป็นซุ้มโค้งเพื่อบรรจุพระพิมพ์ขนาดใหญ่หรือตามประทีป เช่นเดียวกับซุ้มที่พบในวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี นับเป็นจุดท่องเที่ยวใน ๔ จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง เพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้เป็นเมืองผ่านแต่จะทำให้ทุกคนได้เรียนรู้และเข้าถึงข้อมูลพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้มากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี