สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) จัดเวทีเสนอนวัตกรรมทางความคิดเพื่อสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ต้องหาหญิงที่ก้าวพลาด ผลักดันโครงการ “Every Steps Together: ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” ระดมความร่วมมือจากสังคมให้โอกาสผู้ก้าวพลาดเข้าสู่ตลาดแรงงานองค์กรภาครัฐ-เอกชนกว่า 30 องค์กร ร่วมประกาศเจตจำนงร่วมสนับสนุนเต็มที่ให้ผู้พ้นโทษเริ่มต้นชีวิตใหม่ปิดทางการกระทำผิดซ้ำ แก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำอย่างยั่งยืนย้ำการให้ “โอกาส” จากสังคมคือสิ่งสำคัญที่สุด
“ข้อกำหนดกรุงเทพ” คือ ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง ที่ สมเด็จ
พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงศึกษาเรื่องนี้และทรงร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยผลักดัน “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (Bangkok Rules) กระทั่งได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม2553 และให้เกียรติประเทศไทยโดยใช้ชื่อเมืองหลวงประเทศไทยเป็นชื่อเรียกขาน ถือเป็นข้อกำหนดแรกของไทยในเวทีสหประชาชาติอันเป็นสากลและทั่วโลกยอมรับ
ปี 2563 ถือเป็นการครบรอบ10 ปี การรับรองข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและผู้กระทำผิดหญิง ให้มีความเหมาะสมด้านเพศสภาพมากยิ่งขึ้น ตรงตามความต้องการเฉพาะด้านสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิง และของเด็กติดผู้ต้องขัง ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) หน่วยงานภายใต้กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ มีส่วนสำคัญในการร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม
สำหรับประเทศไทย กว่า 70% ของผู้พ้นโทษ เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่อยู่ในช่วงอายุ 21-40 ปี และจากการสำรวจของ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ที่มีการสำรวจความต้องการของผู้ต้องขังหญิงหลังการพ้นโทษ พบว่า 21.2% มองว่า “การหาอาชีพ” เป็นเรื่องที่ต้องการได้รับการสนับสนุนมากที่สุด
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล
ด้วยเหตุนี้ TIJ และเครือข่ายจึงได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง ในการให้ผู้ต้องขังหญิงได้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพสุจริต ลดโอกาสการกระทำผิดซ้ำ และพร้อมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังการพ้นโทษโดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกับภาคราชการในการยกระดับขีดความสามารถของผู้ต้องขังหญิง พร้อมสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ ภายใต้โครงการ “Every Step Together ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” ด้วยการสร้าง “ระบบนิเวศธุรกิจ” ที่จะส่งเสริมให้ผู้ต้องขัง และอดีตผู้ต้องขังหญิงมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุดในการค้นหาและเริ่มต้นอาชีพหลังการพ้นโทษ ซึ่งรวมถึงการสร้างแรงจูงใจ และหลักประกันให้กับภาคธุรกิจที่พร้อมให้การสนับสนุนด้วย
ภายในงานยังได้มีพิธีแสดงเจตจำนงร่วมกันระหว่างผู้แทนภาครัฐภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการสร้างโอกาสเพื่อการกลับสู่สังคมแก่อดีตผู้ต้องขังมากกว่า 30 องค์กร ที่ร่วมสนับสนุนโครงการ “Every Steps Together: ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” อย่างเต็มที่ เพื่อให้โอกาสผู้พ้นโทษเข้าสู่ตลาดแรงงานในรูปต่างๆ ได้แก่ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับผู้พ้นโทษการร่วมสนับสนุนสินค้าและบริการจากผู้ต้องขังและอดีตผู้ต้องขัง การสนับสนุนเงินทุนเพื่อส่งเสริมการสร้างทักษะและการเริ่มต้นใหม่หลังการพ้นโทษ การมีส่วนร่วมในจัดกิจกรรมฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ใกล้พ้นโทษ การปรับนโยบายด้านทรัพยากรบุคคลให้เปิดกว้างต่อการรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน และ การดำเนินการจ้างงานผู้พ้นโทษ โดยเห็นตรงกันว่า กลุ่มคนเหล่านี้คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่สามารถมาช่วยกันพัฒนาประเทศได้
ศาสตราจารย์พิเศษดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า การจัดงานครบรอบ 10 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพครั้งนี้ เราได้จัดทำโครงการ “ Every Steps Together: ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมให้ “โอกาส” ให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษกลับคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพและสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาผู้พ้นโทษกระทำผิดซ้ำสูงมาก ซึ่งต้องมีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะการกระทำผิดซ้ำไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความแออัดในเรือนจำ ซึ่งจะเป็นวิกฤติสำคัญในยุคโควิด-19 เท่านั้น แต่การกระทำผิดซ้ำยังทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส ในด้านทรัพยากรบุคคลที่พ้นโทษมาร่วมพัฒนาสังคม/ประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกสังคมไทยมองข้ามและไม่มีการให้พื้นที่/โอกาส ในการประกอบอาชีพและเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้พ้นโทษ ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างเพียงพอ ทำให้ผู้พ้นโทษจำนวนมาก ไม่มีที่ไป ไม่ได้รับการยอมรับ จนต้องกลับสู่วงจรชีวิตเดิมๆ และกระทำผิดซ้ำกลับสู่เรือนจำอีก
จรัล งามวิโรจน์เจริญ
“สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักถึงกันในวันนี้คือ เรื่องการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ปลอดภัย ด้วยการให้ผู้ที่ก้าวพลาดที่มีความสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดีที่พร้อมเป็นพลังให้กับสังคมได้รับโอกาสนี้จากสังคมอีกครั้ง ดังนั้น โจทย์ของเราในการครบรอบ 10 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพฯ ในวันนี้ คือ เราจะสร้างส่งเสริมนวัตกรรมในการช่วยเหลือผู้ต้องขังในการกลับสู่สังคมอย่างมีคุณภาพได้อย่างไร ซึ่งเราทราบกันดีว่าเรือนจำเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดและยังมีความไม่เท่าเทียม เราต้องการนวัตกรรม ซึ่งคำนี้ไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งประดิษฐ์ แต่ยังหมายถึงแนวคิดที่จะนำมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นด้วย” ศาสตราจารย์พิเศษดร.กิตติพงษ์ กล่าว
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การให้โอกาสผู้พ้นโทษเป็นสิ่งที่สังคมต้องเรียนรู้และร่วมมือกันเราทุกคนต้องร่วมสร้างต้นทุนชีวิตให้แก่ผู้พ้นโทษ ให้เขารู้สึกมีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีภูมิใจในหน้าที่การงาน และที่สำคัญคือให้เขารู้สึกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและมีความหมาย ต้องรู้สึกหวงแหนให้เขามีเป้าหมายในชีวิต รู้สึกว่าเขามีอะไรเขามีต้นทุนชีวิต และยอมไม่ได้ที่จะเสียมันไป นี่คือหัวใจสำคัญที่เราทุกคนในสังคมต้องรู้สึกร่วมและเห็นอกเห็นใจกัน (Empathy) เพราะที่ผ่านมาเราพบว่าผู้พ้นโทษ จำนวนมาก ไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้เลยถ้าสังคมไม่ให้โอกาส ทำให้ผู้พ้นโทษส่วนใหญ่ต้องกลับไปกระทำผิดซ้ำต้องโทษอีกครั้ง เพราะเขารู้สึกว่า“เขาไม่มีต้นทุนชีวิต” แบบที่เราทุกคนมี
“เรื่องนี้เป็นความท้าทายความคิดและการรับรู้ (Mindset and Perception) ของพวกเราทุกคนในการกล้าที่จะให้โอกาส ผู้พ้นโทษเหล่านี้ กลับมามีที่ยืนในสังคมได้เราต้องช่วยกัน ต้องเปลี่ยนความรู้สึกและสายตาที่เรามองพวกเขาให้เหมือนมองคนปกติทั่วไป เพราะคนเหล่านี้ต้องการมีเพียงแค่โอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่เท่านั้น และคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน ว่าเราอยากเห็นคนดีเพิ่มในสังคม หรือเห็นคนกระทำผิดซ้ำกลับไปต้องโทษในเรือนจำอีก”
ศ.พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์
ด้าน นายจรัล งามวิโรจน์เจริญ Chief Data Scientist & VP of DataInnovation Lab บริษัทเซอร์ทิสกล่าวว่า ในฐานะที่ทำงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมานานและได้ทราบถึงความยากลำบากของผู้ก้าวพลาดที่พ้นโทษในการหางานทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสังคมไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการให้โอกาสผู้พ้นโทษมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกันและกัน อย่างไรก็ตามเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อโลกของเราได้ก้าวสู่ยุุคดิจิทัลงานจำนวนมากสามารถทำผ่านออนไลน์และทำงานอยู่เบื้องหลังและทำได้ทุกที่ อีกทั้ง งานที่เป็นงานซ้ำๆ (Routine)ในปัจจุบันกำลังถูกแทนที่ด้วย AI (ArtificialIntelligence) ซึ่งกว่า AI จะฉลาดและทำงานเองได้ ต้องอาศัยการฝึกฝน (Training) จากมนุษย์ (HumanSupervise) โดยเฉพาะในงานด้านกระบวนการประมวลผลทางภาษาให้เป็นธรรมชาติ (Natural LanguageProcessing :NLP) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พ้นโทษทำได้
“AI ไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ของภาษาด้านบวกด้านลบด้วยตัวเองได้ และต้องการสอนจากมนุษย์ (Label Data) ซึ่งงานดังกล่าวเป็นงานที่เหมาะกับผู้พ้นโทษ เพราะสามารถทำได้จากทุกที่ทางออนไลน์ เป็นงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยประวัติและตัวตน ทั้งนี้ไม่ว่า AI จะเติบโตมากแค่ไหน แต่มนุษย์ก็ยังมีทักษะที่เป็นจุดแข็งที่ AIไม่สามารถแทนที่ได้ นั่นก็คือ ทักษะการสื่อสาร (Communication) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนทำได้ และมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว รวมถึงผู้พ้นโทษด้วย ขอเพียงแค่ให้โอกาสพวกเขาเท่านั้น”
ทั้งนี้ ภายในงานยังมีการเสนอแนวทางและนวัตกรรม การสร้างโอกาสจากธุรกิจระดับชุมชน โดยจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด (มหาชน) และ การสร้างกลไกทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเปิดโอกาสให้ผู้พ้นโทษ โดย ดร.เอกนิตินิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรกระทรวงการคลัง รวมถึงการสร้างนวัตกรรมและเครื่องมือทางการเงินและแหล่งทุนสำหรับนวัตกรรมทางสังคมสำหรับผู้พ้นโทษ โดย รื่นวดีสุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี