แพทย์แนะผู้ป่วยโรคอะโครเมกาลี สามารถเข้าถึงการรักษาโรคนี้ได้ฟรีตามสิทธิ์บัตรทอง ชี้หากพบการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้า เช่น มีสันคิ้วหนาและคางยื่นมากขึ้น สังเกตพบขนาดของมือ เท้า ลิ้นใหญ่ขึ้นผิดปกติ อาจมีโอกาสเป็นโรคอะโครเมกาลีควรรีบพบแพทย์รักษาก่อนลุกลามเกิดโรคแทรกซ้อนเสี่ยงเสียชีวิต
รศ.พญ.เมตตาภรณ์ พรพัฒน์กุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โรคอะโครเมกาลี เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการมีระดับฮอร์โมนเจริญเติบโต (Growth hormone) ในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากฮอร์โมนนี้ควบคุมการเจริญเติบโตและการเผาผลาญของร่างกาย ดังนั้น การที่มีฮอร์โมนชนิดนี้สูงเกินปกติจะทำให้ร่างกายสูงใหญ่กว่าปกติ รูปหน้าเปลี่ยนแปลง มือเท้าใหญ่ มีความผิดปกติของระบบต่างๆ ภายในร่างกายอีกด้วย อาทิ ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ลิ้นโตคับปาก หัวใจโตข้อเสื่อม โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงตามมาได้ ผู้ป่วยที่มีโรคอะโครเมกาลีจะมีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าประชากรทั่วไปประมาณ 2-3 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ควบคุมระดับฮอร์โมนเจริญเติบโตไม่ได้
สาเหตุของภาวะนี้มักเกิดจากเนื้องอกของต่อมใต้สมองที่ผลิตฮอร์โมนเจริญเติบโตเป็นหลัก อาการของโรคจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นอาการของโรคซึ่งเกิดจากภาวะที่มีฮอร์โมนเจริญเติบโตเกิน และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอาการที่เกิดจากการที่เนื้องอกไปกดเบียดอวัยวะสำคัญข้างเคียง ได้แก่ เส้นประสาทตาเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา เส้นประสาทที่เลี้ยงความรู้สึกบริเวณใบหน้า โดยสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะที่มีฮอร์โมนเกิน สังเกตได้จากมือและเท้าที่ใหญ่กว่าปกติจนผู้ป่วยต้องเปลี่ยนขนาดแหวนขนาดรองเท้า การมีใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเช่น กรามใหญ่ คางยื่น จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนาผิวหนังหน้าหยาบขึ้น หรือร่างกายที่สูงผิดปกติ เป็นต้น ขณะเดียวกันอาจจะมีหัวใจโต ความดันโลหิตสูง มีโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ยาก เและอาการอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากเนื้องอกบริเวณต่อมใต้สมองไปเบียดอวัยวะสำคัญที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้น ทำให้มีอาการปวดศีรษะ ตามัว เห็นภาพซ้อนหรือมีอาการชาบริเวณหน้าผากและโหนกแก้มโรคอะโครเมกาลีเป็นหนึ่งในโรคหายาก (Rare Disease) เนื่องจากการที่มีผู้ป่วยจำนวนน้อยมากทำให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหายากยังมีอยู่อย่างจำกัดและไม่เป็นที่รู้จักกันในประชาชนทั่วไป จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยล่าช้า
รศ.พญ.เมตตาภรณ์ พรพัฒน์กุล
การรักษาจะมีเป้าหมายเพื่อควบคุมระดับฮอร์โมนเจริญเติบโตในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากที่สุดและการลดขนาดของก้อนเนื้องอก แนวทางการรักษาแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออกเป็นลำดับแรกถ้าหากไม่มีข้อห้ามของการผ่าตัด เนื่องจากการผ่าตัดเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดได้ แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่หรือลุกลามมากซึ่งไม่สามารถผ่าตัดออกให้หมดได้หรือในผู้ป่วยที่ไม่หายขาดหลังการผ่าตัด แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยการใช้รังสีรักษาหรือการใช้ยา หรืออาจใช้ทั้งรังสีรักษาควบคู่ไปกับการให้ยา
“จุดสำคัญในการรักษาโรคนี้คือการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วเพื่อควบคุมระดับฮอร์โมนของผู้ป่วยให้ใกล้เคียงกับคนปกติซึ่งจะส่งผลให้โรคแทรกซ้อนต่างๆ ลดลงด้วย ร่วมกับการควบคุมขนาดของก้อนเนื้องอก อย่างไรก็ตามโรคอะโครเมกาลีจัดว่าเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยากเพราะอาการของโรคจะค่อยๆ แสดงออกอย่างช้าๆ และอาการบางอย่างอาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคอื่นดังนั้นการให้ความรู้เรื่องโรคอะโครเมกาลีจะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยและคนรอบข้างตระหนักถึงโรคนี้มากขึ้นและได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็วขึ้น ฉะนั้น ผู้ป่วยควรสังเกตอาการของตนเองว่า มีรูปหน้าที่เปลี่ยนแปลง เช่น กรามใหญ่คางยื่นมากขึ้นมีขนาดของร่างกายใหญ่ขึ้นผิดปกติหรือไม่ ว่าจะเป็น มือ เท้า ลิ้น มีทางร่างกายหลายๆ โรคร่วมกันที่เข้าได้กับภาวะนี้ เช่น โรคเบาหวานภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หัวใจโตข้อเสื่อมเร็ว รวมทั้งความผิดปกติของการมองเห็นตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นผู้ป่วยควรรีบปรึกษาแพทย์เมื่อพบภาวะเหล่านี้ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องก่อนที่จะโรคจะรุนแรงมากขึ้นและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้”
เนื่องจากโรคอะโครเมกาลีจัดเป็นหนึ่งในโรคหายาก (Rare Disease) มีความชุกของโรคต่ำมากในกลุ่มประชากร ทำให้การพัฒนายาเพื่อนำมาใช้ในการวินิจฉัย บรรเทารักษาหรือป้องกันโรคหายากนี้เกิดขึ้นช้ากว่าการพัฒนายาสำหรับโรคที่มีความชุกสูงๆ ยาที่นำมาใช้ในการรักษาโรคหายากนี้จึงจัดเป็น “ยากำพร้า” ซึ่งมักจะมีราคาสูงหรือยังไม่มีจำหน่ายในประเทศไทยอย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันโรคอะโครเมกาลีได้ถูกบรรจุอยู่ในกลุ่มโรคที่สามารถใช้สิทธิรักษาขั้นพื้นฐานของประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เพิ่มการเข้าถึงยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคอะโครเมกาลีที่ยังไม่สามารถควบคุมโรคได้หลังได้รับการผ่าตัดเนื้องอกและ/หรือการฉายแสงแล้ว ดังนั้น หากมีอาการที่น่าสงสัยหรือคิดว่าตนเองหรือญาติเป็นโรคดังกล่าวแนะนำให้ไปพบแพทย์ตามสิทธิ์รักษาได้อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้การรักษายากขึ้นและไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร อาจส่งผลให้มีโรคแทรกซ้อนและเกิดความพิการขึ้นได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี