เมื่อเกิดโรคโควิด-19 ระบาดในเมืองไทยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2563 หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคราชการและเอกชนหลายแห่งได้ผนึกกำลังกันป้องกันภัยและรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่ หนึ่งในหน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทเป็น “กองหนุน” ส่งเสบียงอาหาร อุปกรณ์ และอุปกรณ์สื่อสารช่วยสู้ภัยโควิดที่สำคัญของประเทศไทย คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี
ตอนเริ่มต้นสงครามโควิด-19 ของไทยนั้น อุปกรณ์สำคัญในการป้องกันโรคที่ขาดแคลนยิ่ง คือ หน้ากากอนามัย N-95 ซึ่งมีราคาพุ่งสูงและหาซื้อยากทั่วโลก ดังนั้น ในเดือนมีนาคม 2563 เครือเจริญโภคภัณฑ์ ภายใต้การนำของ นายธนินท์ เจียรวนนท์ จึงตัดสินใจอย่างเร่งด่วน ลงทุน 100 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยในประเทศไทย จำนวนกว่า 200,000 ชิ้น แจกฟรีแก่บุคลากรการแพทย์ ประชาชนกลุ่มเปราะบาง และแรงงานต่างชาติ “เพื่อรับใช้แผ่นดินไทยยามวิกฤติ” มอบเงินสด 77 ล้านบาท ให้โรงพยาบาล 77 แห่งทั่วประเทศ เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น พร้อมกับมอบอาหารและซิมโทรศัพท์ฟรี จำนวน 2 หมื่นชุด ให้ผู้ถูกกักตัว 14 วันถึงหน้าบ้าน เพื่อให้มีอาหารกิน สามารถเปิดโทรศัพท์ดูข่าวและความบันเทิงแก้เหงา
ตลอดปี 2563 เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดย ซีพีเอฟ ได้บริจาคอาหารสำเร็จรูปจำนวนมากให้แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ในโรงพยาบาลของรัฐกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งให้ผู้เฝ้าระวังที่ถูกกักตัวกว่า 20,000 คน และประชาชนยากจนในอีก 200 ชุมชน แจกคูปองส่วนลดพิเศษ 1 ล้านใบ ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านทั่วประเทศ (อสม.) ในฐานะ “ฮีโร่ที่ลืมไม่ได้” ทำข้าวกล่องพิเศษ 1 ล้านกล่อง เช่น ข้าวอกไก่ซอสจิ้มแจ่ว ข้าวผัดไก่ย่างซอสเกาหลี ข้าวตับกระเทียม จำหน่ายราคาประหยัด 20 บาท ในร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท
เดือนมกราคม 2564 เกิดเหตุโควิด-19ระลอกใหม่ ระบาดใหญ่ที่สมุทรสาคร จนต้องตั้งโรงพยาบาลสนาม “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” และกักตัวแรงงานพม่า มอญ เขมร ราว 4,000 คน ที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ซีพี เอฟ ได้ส่งอาหารสำเร็จรูปพร้อมกินจำนวน 55,000 ชุด และไข่ไก่ 10,000 ฟอง ไปแจกฟรี ผ่านมูลนิธิ LPN ให้เจ้าหน้าที่และผู้ที่ถูกกักตัวต้องหยุดงานระยะยาว
บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจด้านโทรคมนาคม ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ มอบโทรศัพท์มือถือรุ่นทันสมัย พร้อมซิมโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตฟรีแบบไม่อั้น 500 เครื่อง ให้สาธารณสุขจังหวัด และ สถานพยาบาลทั่วประเทศที่ให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยโควิด มอบซิม “กักตัว ไม่กลัวเหงา” ใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตฟรี 30 วันให้แก่ผู้กักตัว14 วันตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค มอบคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต พร้อมซิมบริการฟรี 100 เครื่องให้โรงพยาบาลศิริราช มอบซิมโทรศัพท์ทรูมูฟ 100 ชุด ให้กรมควบคุมโรค เพื่อใช้ในการติดต่อสอบสวนโรคเชิงลึก พัฒนาแพลตฟอร์ม “Tele Clinic” ร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จัดให้ลูกค้าทรูมูฟ สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่น “หมอชนะ” ได้โดยไม่เสียค่าบริการดาต้าและไม่ต้องลงทะเบียน เพื่อให้สามารถติดตามและสอบสวนโรคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว
สนับสนุนห้องเรียนเสมือนจริง และแพลตฟอร์ม VLEARN ให้สถานศึกษาที่จัดระบบการเรียนออนไลน์ สนับสนุนระบบประชุมออนไลน์ VROOM และระบบทำงานที่บ้าน VWORK ให้แก่องค์กรธุรกิจ ส่งหุ่นยนต์“เทมิ” ไปช่วยบุคลากรการแพทย์ให้สามารถดูแลผู้ป่วยจากระยะไกล ไม่ต้องสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง ส่งรถโมบายชุมสายเคลื่อนที่เร็ว ระบบ 5 จี ไปประจำที่โรงพยาบาลสนาม ศูนย์ห่วงใยคนสาคร วัฒนาแฟคตอรี่ ต.พันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นที่กักตัวผู้ตรวจ พบว่าติดเชื้อโควิด19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ รถโมบายดังกล่าวจะขยายและเพิ่มสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อรองรับการใช้งานของคนจำนวนมากได้พร้อมกัน โดยมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองในกรณีไฟฟ้าหลักขัดข้อง
ระหว่างวิกฤตโควิดที่ธุรกิจหลายอย่างต้องล้มเลิกกิจการ ทำให้มีคนตกงานว่างงานจำนวนมาก แต่บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์กลับสวนกระแส ให้คำมั่นว่าจะไม่มีการปลดพนักงาน พร้อมกับประกาศรับนักศึกษาอาชีวะและมหาวิทยาลัยที่จบใหม่ 28,000 อัตรา เพื่อแก้ปัญหาการหางานทำไม่ได้ และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงวิกฤติ
เมื่อต้นปี พ.ศ. 2564 สำนักข่าวญี่ปุ่น นิเกอิ เอเชียรายงานว่า บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ฮ่องกงได้ทุ่มเงินก้อนใหญ่ 15,000 ล้านบาทเข้าซื้อหุ้น 15% ของบริษัทซิโนแวคไลฟไซแอนซ์ของจีน ผู้ผลิตวัคซีนโควิด ยี่ห้อ “โคโรน่าแวคCoronavac” เพื่อขยายกำลังการผลิตให้ได้ 600 ล้านโดสต่อปี สำหรับฉีดให้คน 300 ล้านคน วัคซีนโคโรน่าแวคดังกล่าวนั้น รัฐบาลจีนก็ได้สั่งซื้อและเริ่มฉีดให้ประชาชนจีนแล้ว และได้ทำสัญญาจัดหาจองซื้อจากหลายประเทศแล้ว เช่น ไทย อินโดนีเซีย ตุรกี บราซิล ชิลี ฮ่องกง สิงคโปร์ ยูเครน และฟิลิปปินส์ วัคซีน โคโรน่าแวคสามารถเก็บในตู้เย็นธรรมดาที่มีอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสประมาณ 6 เดือนทำให้ไม่ต้องหาตู้เย็นพิเศษอุณหภูมิเย็นยิ่งยวด -70 องศาเซลเซียส เหมือนวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์จากอเมริกา
โคโรน่าแวค เป็นวัคซีนเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ผลิตโดยวิธีโบราณ ที่มนุษย์คุ้นเคยมานานคล้ายกับวัคซีนโรคฝีดาษไข้ทรพิษ ตับอักเสบ พิษสุนัขบ้า และวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด สามารถฉีดเข้าที่แขนของมนุษย์ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำได้ทำงานโดยการเหนี่ยวนำให้ระบบคุ้มกันในร่างกายมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้กับไวรัสโควิดเชื้อตายในวัคซีนที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย ซึ่งอาจเปรียบเสมือนการสร้างกองทหารขึ้นมาต่อสู้กับข้าศึกที่เข้ามารุกราน ถ้ากองทหารสู้ข้าศึกไม่ได้อาจทำให้ทหารเสียชีวิต แต่หากสู้แล้วรอดชีวิตมาได้ ร่างกายก็จะมีกองทหารที่มีฝีมือคอยขัดขวางป้องกันข้าศึกชนิดเดียวกัน ที่จะมาโจมตีด้วยวิธีเดิมๆ ในภายหน้า
วิธีผลิตวัคซีนโคโรน่าแวค กระทำโดยนำเชื้อไวรัสโควิดจากผู้ป่วยในแหล่งต่างๆ ซึ่งอาจแปลงร่างเปลี่ยนพันธุกรรมไปขยายพันธุ์ในเซลล์ไตของลิงแล้วนำไปแช่ในสารเบต้าโพรพิโอแลกโตน (Beta Propiolactone) เพื่อทำให้เชื้อโควิดไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ แต่โปรตีนและโครงสร้างต่างๆยังอยู่ครบถ้วน หลังจากนั้นก็จะดึงเชื้อไวรัสที่ตายมาผสมกับสารประกอบอลูมิเนียม ซึ่งสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ให้เพิ่มความสามารถในการสู้กับเชื้อโควิดข้อจำกัดของวัคซีนโคโรน่าแวค คือทำได้ยาก ในการผลิตจำนวนมากเพราะทำจากไวรัสก่อโรคตัวจริง ที่ต้องเพาะเลี้ยงในห้องชีวนิรภัย และมีต้นทุนการผลิตสูง ไม่เหมือนกับวัคซีนที่ทำจากไวรัสตัวปลอม mRNA ของบางบริษัท ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ และผลิตได้รวดเร็วกว่า
กิจกรรมต่างๆ ของบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในการสนับสนุน ป้องกันและรักษาโรคระบาดโควิด19 ในประเทศไทยด้วยกระบวนการต่างๆ นั้น เป็นสิ่งที่ก่อประโยชน์ และสงวนชีวิตของมนุษย์ไว้ได้เป็นจำนวนมาก นับเป็นตัวอย่างอันดีของบริษัทธุรกิจเอกชน ในการ “รับใช้แผ่นดินไทยในยามวิกฤต”ที่ควรแก่การยกย่องชมเชยต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี