ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) ภัยเงียบที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของหัวใจหากเป็นแล้ว และไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลง นำไปสู่การเสียชีวิตได้ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว มีมากกว่ามะเร็งหลายชนิด พบบ่อยขึ้นในผู้สูงอายุและมีมากถึง 2% ที่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ทั้งหมดเกิดจากการไม่ควบคุมและไม่ได้รับการรักษาที่ดี โดยธรรมชาติของโรคจะดำเนินไปเรื่อยๆ หากไม่รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โรคก็จะพัฒนาไปเร็วขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อาทิ โรคเบาหวานโรคไต
ศาสตราจารย์นายแพทย์รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ โรคหัวใจ ได้เปิดเผยว่า “ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) เป็นกลุ่มอาการที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของการทำงานของหัวใจโดยอาจเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างหรือการทำหน้าที่ของหัวใจ ส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายหรือรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ ปัจจุบันคนไทยมักให้ความสำคัญกับภาวะหัวใจล้มเหลวน้อยกว่ามะเร็ง ซึ่งแท้จริงแล้ว อัตราการเสียชีวิตของหัวใจล้มเหลวสูงกว่ามะเร็งหลายชนิด โดยเฉลี่ยอัตราการเสียชีวิตขณะอยู่โรงพยาบาลของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว ประมาณ 3-4% อัตราการเสียชีวิตที่ 1 ปี ประมาณ 20-30% อัตราการเสียชีวิตที่ 5 ปี ประมาณ 60% ภาวะหัวใจล้มเหลว ไม่ใช่สิ่งใหม่ หรือรุนแรงมากขึ้นกว่าสมัยก่อน เพียงแต่เราอาจจะไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักตัวโรคมากนักเมื่อการแพทย์สมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับภาวะหัวใจล้มเหลวมากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยก็มีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้นด้วยดังนั้นเราจึงมักพบเจอคนที่เป็นภาวะหัวใจล้มเหลวประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมด และมักจะพบเมื่อมาถึงโรงพยาบาลด้วยอาการผิดปกติทางระบบหัวใจและหลอดเลือดแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา พบภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยมาที่มาห้องฉุกเฉิน โดยสาเหตุหลักของการเกิดโรค คือ การไม่ควบคุมการรักษาที่ดี ทำให้โรคพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนไม่สามารถควบคุมได้ แต่หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจจะส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตลดลง และมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนกับคนปกติได้เช่นกัน”
“ภาวะหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดหัวใจ มีความคล้ายคลึงกัน และมีอาการร่วมเช่นเดียวกัน ผู้ป่วยส่วนมากจึงมักเข้าใจผิดถึงตัวโรค และมักจะขาดการใส่ใจในการรักษาที่ดี โดยภาวะขาดเลือดเกิดจากโรคเส้นเลือดหัวใจผิดปกติทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบ จึงมีอาการจุกแน่น เจ็บหน้าอก เวลาออกกำลังหรือต้องออกแรง เพราะหัวใจเมื่อทำงานหนักขึ้นเลือดจะไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ถ้าเกิดแบบฉับพลัน อาการก็จะจุกแน่น รุนแรงทันที นานนับชั่วโมง อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลันได้ (Heart Attack) ส่วนอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น เราจะสังเกตได้จากอาการของระบบหายใจ คือ เหนื่อยง่าย ปอดบวมขาบวม จากความผิดปกติของการทำงานระบบหัวใจ และส่งผลให้มีความผิดปกติในหลายระบบของร่างกาย เช่น ปอด จะมีน้ำคั่งในปอด ปอดบวม ทำให้เกิดความผิดปกติของการแลกเปลี่ยนออกซิเจน จึงเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียทำกิจวัตรได้ไม่เหมือนปกติ ถ้าเกิดแบบฉับพลัน อาจถึงขั้นหายใจไม่ออกได้”
“สำหรับการรักษานั้น มีเป้าหมายคือต้องรักษาอาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้นทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น และท้ายสุดคือการทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น ซึ่งการรักษา มีทั้งแบบป้องกันในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่จะเป็น คือการดูแลปัจจัยหรือโรคร่วมต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคเส้นเลือดหัวใจ ให้อยู่ในภาวะที่ปกติที่สุด ไม่ให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในอนาคตได้ ในส่วนของผู้ป่วยที่เป็นภาวะหัวใจล้มเหลวอยู่แล้ว ก็จะใช้การรักษาแบบใช้ยาหรืออุปกรณ์ช่วยรักษา ซึ่งการใช้ยารักษาขึ้นกับชนิดของหัวใจล้มเหลว ว่าเป็นการบีบตัวหรือการคลายตัวผิดปกติของหัวใจ จึงต้องทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนของหัวใจ (Echo Cardiogram) ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่ช่วยในการทำงานของหัวใจ ซึ่งจะลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ดี ซึ่งความยากของการรักษานั้นหากผู้ป่วยนั้นมีโรคร่วมด้วยการรักษาก็จะยากยิ่งขึ้น เพราะการรักษาอาการโรคร่วมนั้น อาจส่งผลต่อการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว อย่างเช่น ผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่แล้วนั้น หากควบคุมอาการเบาหวานไม่ดี ก็จะส่งผลต่อความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ และการตีบแคบของหัวใจได้นอกจากนี้การบริโภคอาหารของคนไทยก็เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้เนื่องจากคนไทยติดทานเค็ม หวานมากเกิน ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเช่นกัน แพทย์จึงมีความจำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของโรคแพทย์จะมีการปรับเปลี่ยนการรักษามีการประเมินการรักษาอยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับยาและการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย”
“ญาติผู้ดูแลผู้ป่วย หรือตัวผู้ป่วยต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติอยู่เสมออย่างเช่น เรื่องของภาวะน้ำขาดหรือเกินเพราะอาจต้องทานยาขับปัสสาวะในการรักษาด้วย ดังนั้นควรชั่งน้ำหนักทุกวัน
หากน้ำหนักเพิ่มเกิน 2 กิโลกรัมควรรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีภาวะน้ำเกิน หรือการทานยาก็อาจมีผลต่อความดันเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำ เวียนศีรษะ จึงควรวัดความดันควบคู่ไปด้วย หากผิดปกติเกิน ควรไปพบแพทย์ นอกจากนี้ต้องให้ความร่วมมือกับทีมแพทย์ และผู้ป่วยเองควรมีวินัยในการรักษา ทานยาสม่ำเสมอ ควบคุมอาหารไม่ทานเค็ม พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ควบคุมโรคที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยง ผู้ดูแลผู้ป่วยก็ต้องเข้าใจผู้ป่วยและช่วยดูแลในทุกด้านด้วย เพียงเท่านี้ก็จะมีชีวิตที่ยืนยาว แบบคนปกติได้”ศาสตราจารย์นายแพทย์รุ่งโรจน์กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี