วิกฤติโรคระบาดโควิด พ.ศ. 2563 ทำให้ข้าราชการของไทยบางคน ต้องป่วยหนักระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ด้วยโรคโควิดจนเกือบเสียชีวิต เช่น นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรีผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร
นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ที่ชาวสมุทรสาครเรียกกันว่า ผู้ว่าปู เป็นชาวอ่างทอง เกิดเมื่อพ.ศ. 2504 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบูรพา และปริญญาโทรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยเป็นพัฒนาการอำเภอป่าโมก อ่างทอง นายอำเภอแม่วงศ์ นครสวรรค์ นายอำเภอเดิมบางนางบวช ศรีประจันต์ และอำเภอเมือง สุพรรณบุรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจิตรศรีสะเกษ และย้ายมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อ 1 ตุลาคม 2562 นายวีระศักดิ์ ได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น นายอำเภอดีเด่น และผู้ว่าราชการจังหวัดดีเด่นระดับประเทศ
ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายวีระศักดิ์พยายามประชาสัมพันธ์ให้คนไทยทั่วไปรู้จักสมุทรสาครในทางที่ดี ไม่ดูถูกคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในจังหวัดทั้งที่เข้ามาโดยถูกหรือผิดกฎหมาย เพราะคนต่างชาติเหล่านี้มาช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยให้มั่นคง นำเงินมาสู่ประเทศไทย โดยอยากหาทางให้คนไทยและคนต่างชาติมีความเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจไมตรีต่อกัน
เมื่อเดือนธันวาคม 2563 เกิดเหตุโควิดระบาดหนัก ที่ตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อหลายพันคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวชาวพม่า ผู้ว่าวีระศักดิ์ ได้ทำคลิปรายงานเหตุการณ์ทางอินเทอรเน็ทต่อประชาชนผ่าน แฟนเพจ COVID-19 สมุทรสาคร เป็นประจำทุกสัปดาห์ และกล่าวว่า “รู้สึกหนักใจที่คนทั่วไปมองสมุทรสาครเป็นแดนมิคสัญญี เป็นถิ่นซอมบี้ที่ใครเข้ามาแล้วจะกลายเป็นคนอันตราย อาจติดโรคร้ายต้องกักตัว 14 วัน”
ผู้ว่าวีระศักดิ์ รณรงค์ให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัย ป้องกันโควิดโดยใช้คำขวัญว่า “วัคซีนรอปีหน้า หน้ากากผ้าใช้ได้เลย” และ “ใส่หน้ากากกันเหอะ #ให้กราบก็ยอม”
ผู้ว่าวีระศักดิ์ ได้เกาะติดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคด้วยตนเอง อย่างทุ่มเท โดยออกไปสำรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างถึงลูกถึงคน ออกคำสั่งฉีดยาฆ่าเชื้อ ปิดตลาด สอบสวนโรค กักตัวผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ตั้งโรงพยาบาลสนาม พร้อมทั้งส่งอาหาร เครื่องอุปโภคให้คนที่ถูกกักตัวทั้งคนไทยและคนต่างด้าว
ผู้ว่าวีระศักดิ์ มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้สมุทรสาครปลอดภัย น่ารัก ให้คนกลับมาเที่ยว มากินอาหารทะเลที่สมุทรสาครเหมือนเมื่อก่อนเกิดเหตุโควิด โดยพยายามจัดตั้งโรงพยาบาลสนามที่เรียกชื่อว่า “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” เพื่อดูแลควบคุมผู้ที่ตรวจพบเชื้อโควิดในสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวชาวพม่า ไม่ให้ออกไปเดินตามตลาด เยี่ยมเพื่อน หรือ ไปกินหมูกระทะ ทำให้โรคร้ายระบาดขยายตัวไปเรื่อยๆ โดยในตอนแรกคิดจะตั้งศูนย์ห่วงใยคนสาคร ที่สวนน้ำ หรือ มหาวิทยาลัยกีฬาสมุทรสาคร แต่ถูกชาวบ้านต่อต้าน ชุมนุมปิดทางเข้าจนต้องย้ายสถานที่ มาที่สนามกีฬาหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด เผื่อว่ามีอันตรายจะได้ให้ผู้ว่ารับเคราะห์ไปก่อน
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2563 ผู้ว่าวีระศักดิ์ ได้แถลงข่าวและกินอาหารทะเลปรุงสุกร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ที่ท่าเรือรับลม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าสามารถกินอาหารทะเลได้อย่างปลอดภัย เพื่อแก้ปัญหาคนไม่กล้ากินอาหารทะเลจากสมุทรสาคร ตอนเย็นวันเดียวกันผู้ว่าฯ มีร่างกายอ่อนเพลียมากจากการตรากตรำ ทำงานหนักและพักผ่อนน้อย จึงเข้ามาตรวจที่ โรงพยาบาลสมุทรสาคร เจาะเลือดส่งตรวจตามขั้นตอน ทางแพทย์ผู้รักษาให้นอนพักที่รพ.สมุทรสาคร เพื่อเฝ้าดูอาการหนึ่งคืน
ต่อมาตรวจพบว่าตัวผู้ว่าราชการจังหวัดเองกลายเป็นผู้ติดเชื้อโควิดมีไข้ต่ำ ปอดอักเสบขั้นรุนแรง เหนื่อยง่าย ต้องเข้าส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช อยู่ในห้องไอซียู ใส่เครื่องช่วยหายใจโดยต้องนอนคว่ำเกือบตลอดเวลาและไม่รู้สึกตัวนานถึง 42 วัน นอกจากนั้นยังตรวจพบว่า นางชุติพร วิจิตร์แสงศรี ภรรยาของผู้ว่าฯ ก็ติดเชื้อโควิดด้วย ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานดอกไม้สิ่งของมาเยี่ยม และทรงรับเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์
การปฏิบัติงาน ที่เสี่ยงอันตรายของนายวิจิตร แสงศรี อย่างเข้มแข็ง ทุ่มเท จนกระทั่งเจ็บป่วยขั้นสาหัส เป็นการปฏิบัติราชการเพื่อบริการประชาชนอย่างกล้าหาญเสียสละที่ควรยกย่องเชิดชูเกียรติอย่างยิ่งต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี