เยอรมนี เป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่ประสบวิกฤติโควิดอย่างหนัก ในประชากร 84 ล้านคน ผู้ติดเชื้อโควิด 2,690,523 คน เสียชีวิต 75,212 คน ผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน 15,813 คนเสียชีวิตใหม่ต่อวัน 248 คน (24 มี.ค.64) แต่ด้วยความสามารถทางการแพทย์และเภสัชกรรมทำให้มีเยอรมนี อัตราเสียชีวิตน้อยกว่าหลายประเทศและอัตราผู้ติดเชื้อลดลง เดือนมีนาคม 2564 ได้เกิดการระบาดของโควิดครั้งใหญ่ซ้ำอีกจากเชื้อกลายพันธ์สายอังกฤษ ที่แพร่ได้รวดเร็วและยาที่เคยใช้บางตัวกลับได้ผลน้อยลงจนต้องมีการปิดเมือง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมประเทศที่มีความเจริญทางการแพทย์และประชาชนมีการศึกษาดีเช่นเยอรมนีจึงเกิดเหตุร้ายแรงเช่นนี้ได้
มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิดครั้งแรกในเยอรมนีเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 ที่รัฐไบเอิร์นใกล้เมืองมิวนิก จากคนงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ ต่อจากนั้นก็พบจากผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอิตาลี จีน และอิหร่าน รัฐบาลเยอรมนี โดยนายกรัฐมนตรีหญิง แองเจลล่า มารเคิล ได้ดำเนินการป้องกันโรคระบาดอย่างเต็มที่ คล้ายกับหลายประเทศทั่วโลก มีการบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม 1.5 เมตร ปิดโรงเรียน ปิดร้านทำผม ร้านนวด ร้านสักผิวหนัง ห้ามกินอาหารในภัตตาคาร ห้ามเยี่ยมบ้านพักคนสูงอายุ ชักชวนให้คนอยู่ในบ้าน ล็อคดาวน์ปิดเมือง ปิดร้านปิดพรมแดนที่ต่อกับออสเตรีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก และ สวิตเซอร์แลนด์ จำกัดการดื่มเหล้าในที่สาธารณะ ห้ามจัดการแข่งขันกีฬา และจัดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
มีประชาชนชาวเยอรมันบางส่วน ประท้วงมาตรการคุมเข้มป้องกันโควิดของรัฐบาลที่เมืองเดรสเดน เบอร์ลิน ดุลเซลดอฟฟ์ สตุตการ์ด และมิวนิค เพื่อต่อต้านการปิดเมืองการบังคับให้สวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม รวมทั้งการฉีดวัคซีน โดยอ้างว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพ ขัดต่อหลักต่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย โดยยังไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภา ผู้ประท้วงคือกลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาล พวกรณรงค์ประชาธิปไตย พนักงานร้านอาหาร พวกชอบฟุตบอล พวกหัวรุนแรง จำนวนประมาณ 40,000 คน ซึ่งมองว่าการกระทำของรัฐบาลเป็นแบบเผด็จการ นาซี ฟาสซิสต์แบบฮิตเลอร์ พวกประท้วงกลุ่มร้านอาหารได้ใช้การตีหม้อกระทะ เป่านกหวีด ปะทะกับตำรวจที่ใช้รถฉีดน้ำ และสเปรย์พริกไทย ด้วยการขว้างระเบิดควัน ก้อนหินและขวดแก้ว จนมีตำรวจบาดเจ็บ และจับกุมผู้ประท้วงไปหลายร้อยคน โดยมีการชุมนุมประท้วงที่หน้ารัฐสภาเยอรมนีด้วย ผู้ประท้วงส่วนหนึ่งเชื่อว่าการสวมใส่หน้ากากอนามัยจะทำให้ผู้ป่วยโควิดมีอาการรุนแรงขึ้น และส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนโควิด
15 มีนาคม 2563 ประธานาธิบดีหญิง แองเจลล่า แมร์เคิล แถลงว่าสถานการณ์โควิดสามารถควบคุมได้ ต่อจากนั้นก็มีการผ่อนคลายข้อห้ามในการเดินทาง เดือนธันวาคม 2563 เกิดการระบาดรุนแรงระลอกที่สอง มีคนติดเชื้อรวมกว่า หนึ่งล้านคน จนต้องกลับมาปิดเมืองซ้ำอีก โดยยังไม่สั่งปิดโรงเรียน แต่บังคับให้ทุกคนที่ขึ้นรถสาธารณะต้องสวมหน้ากากอนามัย พบการติดเชื้อสูงในบ้านพักคนชรา และสถานเลี้ยงเด็ก ต่อมามีการผ่อนคลายการปิดร้าน และเปิดโรงเรียน เพราะมีการประท้วงจากคนตกงานและผู้เรียกร้องเสรีภาพ
เดือนมีนาคม 2564 อัตราการติดเชื้อโควิดในเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และโปแลนด์ พุ่งขึ้นสูงอีก สัดส่วนผู้ติดเชื้อต่อประชากรแสนคนของเยอรมนีอยู่ที่ 103.9 จนโรงพยาบาลรับไม่ไหว ต้องสั่งปิดเมืองล็อคดาวน์ เป็นครั้งที่ 3 โดยห้ามทำกิจกรรมในที่สาธารณะ แต่ยังไม่ได้สั่งกักตัวผู้เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคน เหมือนในเมืองไทย
การวิเคราะห์การระบาดรอบที่ 3 ในเยอรมนีและยุโรปในเดือน มีนาคม 2564 อาจเป็นเพราะสาเหตุต่อไปนี้
1.การผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดรอบ 2 เร็วเกินไป เพราะถูกกดดันจากผู้รับผลกระทบ คนตกงาน และผู้ต้องการฉลองเทศกาลคริสตมาส/ปีใหม่
2.รัฐบาลเยอรมนีไม่กล้าสั่งปิดเมืองรอบ 3 เมื่อเริ่มพบสถิติการติดเชื้อเพิ่มขึ้น เพราะเกรงการต่อต้านจากประชาชน เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ชาวเยอรมันในกรุงเบอร์ลินกว่า 15,000 คนเดินขบวน โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย เพื่อประท้วงมาตรการป้องกันโควิดของรัฐบาล อ้างว่าขัดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปในวงกว้าง
3.มีไวรัสกลายพันธ์สายพันธ์อังกฤษ B117 ที่รุนแรงเข้ามาระบาด ทำให้ยาที่เคยใช้ได้ผลลดลง
4.การสั่งระงับใช้วัคซีนแอสตร้า เซนเนก้า ในเยอรมนีและอีก 10 ประเทศในสหภาพยุโรป ในเดือนมีนาคม 2564 หลังจากมีรายงานว่า ผู้ได้รับวัคซีน 7 คน มีอาการเส้นเลือดดำในสมองอุดตัน จน 3 คน เสียชีวิต
5.คนเยอรมันจำนวนมาก ลังเลใจในการฉีดวัคซีนโควิด เพราะ ยังไม่มั่นใจในประสิทธิภาพ และผลข้างเคียงของวัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเยอรมนีไม่แนะนำให้คนสูงอายุฉีดวัคซีนของแอสตร้า เซนเนก้า รวมทั้งนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล อายุ 66 ปี ก็ไม่ยอมฉีดด้วย ทำให้ในประเทศเยอรมัน มีวัคซีนเหลือใช้ที่กำลังจะหมดอายุ จำนวนมาก
6.คนยุโรปผิวขาวมักดูแคลนคนเอเชีย จึงไม่ยอมทำตามอย่างคนจีนในการสวมหน้ากาก ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถกระจายเชื้อไปให้ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว
7.การขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันโควิดเช่น หน้ากาก ชุดตรวจสอบโควิด ชุด PPE วัคซึนป้องกัน ยารักษาโควิด และเครื่องช่วยหายใจ เพราะความต้องการพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จนสิ่งของที่มีในสต๊อคไม่เพียงพอ
8.ความเหนื่อยล้าของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่มีคนมาสับเปลี่ยน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี