ประเทศอินเดีย ซึ่งมีประชากร 1,390.6 ล้านคน พบผู้ติดเชื้อโควิดรายแรกจากประเทศจีน เมื่อ 30 มกราคม2563 ต่อมาพบจากนักท่องเที่ยวอิตาลี แล้วระบาดไปทั่วประเทศ มีผู้ติดเชื้อโควิด 13.69 ล้านคน (มากเป็นที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา) เสียชีวิต 171,089 คน คิดเป็นอัตราส่วนผู้เสียชีวิต 123 คนต่อประชากรล้านคน (13 เม.ย.64)
อินเดียพบผู้ติดเชื้อรายแรกเมื่อ 30 มกราคม 2563 ที่เมืองเคราล่าจากนักเรียนที่กลับจากอู่ฮั่น และต่อมาพบจากนักท่องเที่ยวที่มาจากอิตาลีและเยอรมนี มีการระบาดในชุมชนแออัดของเมืองมุมไบ มีการสั่งซื้อชุดตรวจโควิด 650,000 ชุดมาจากเมืองจีน แต่ใช้ไม่ได้ผลไม่แม่นยำจนต้องเลิกใช้ และทำให้มีผู้ติดเชื้อหลงรอดเข้าไปในชุมชนจำนวนมาก ต่อมาอินเดียหันไปใช้ชุดตรวจของบริษัทโรเช่จากสวิตเซอร์แลนด์ และที่ผลิตเองในประเทศอินเดีย จึงสามารถตรวจได้ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี นเรทระ โมดิ สั่งปิดเมืองล้อคดาวน์ทั้งประเทศ โดยมีการรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเข้มงวด ทันท่วงที จนทำให้อัตราเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดของอินเดียอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
ตอนปลายปี 2563 จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียมีแนวโน้มลดลง จนมีเตียงว่างในโรงพยาบาลจำนวนมาก แต่ในเดือนมีนาคม 2564 จำนวนผู้ติดเชื้อกลับพุ่งขึ้นสูงอีกเป็นวันละกว่า 8 หมื่นคน รวมมีผู้ติดเชื้อกว่า 13 ล้านคนและผู้เสียชีวิต 1.7 แสนคน โดยมีคนอายุต่ำกว่า 40 ปีติดเชื้อมากขึ้น พบมากที่รัฐมหาราษฎร์ เกรละ ปัญจาบ กรณาฎกะ คุชราช อันตรประเทศ ทมิฬนาดู หรยาณา และมัธยประเทศ ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งพบในหกเมืองสำคัญ ได้แก่ – มุมไบ, เดลี, อะห์มดาบาด, เจนไน, ปูเน และ กัลกัตตา
เหตุผลสำคัญที่ทำให้โรคร้ายกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง เพราะการผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดของรัฐบาล และการที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งละเลย ไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค เช่นการสวมใส่หน้ากากหรือการเว้นระยะห่างทางสังคม มีการอนุญาตให้จัดพิธีแต่งงาน ประชุม ฉลองเทศกาล การหาเสียงเลือกตั้ง แข่งขันคริกเกต และดูภาพยนตร์โดยไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่อยู่กลางเมืองและชุมชนแออัด เมื่อตอนที่ผู้ติดเชื้อในอินเดียลดลง มีการชูธงว่าประเทศอินเดียได้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไปได้ราว 65 ล้านคน เทศกาล กุมภเมลา ที่ชาวอินดูหลายล้านคนลงอาบน้ำสะเดาะเคราะห์ ในแม่น้ำคงคาพร้อมกันโดยไม่เว้นระยะห่างและหลายคนไม่สวมหน้ากากอนามัย ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดของอินเดียพุ่งแซงหน้าบราซิลจนเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
มีการตรวจพบโควิดกลายพันธุ์คู่ (Double Mutant)ชนิดใหม่ E484Q และ L452R ซึ่งสามารถหลบเลี่ยงระบบคุ้มกัน ติดต่อกันง่าย รวมทั้งสายพันธ์อังกฤษ แอฟริกา และบราซิล ที่ทำให้ยาและวัคซีนที่เคยใช้ได้ผลกลับมีประสิทธิภาพลดลง การที่วัคซีนโควิดบางชนิดมีอายุการป้องกันหลังฉีดเพียง 6 เดือน และไม่ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว หรือคนที่เคยติดเชื้อมาแล้วบางคน สามารถติดเชื้อโควิดรอบใหม่ได้อีก
จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จนทุบสถิติทำให้ประชาชนจำนวนมากพากันไปฉีดวัคซีนจนเกิดการขาดแคลนวัคซีนป้องกันโควิดในโรงพยาบาลต่างๆ ในรัฐราชสถาน และมหาราษฎร์ ทั้งๆที่อินเดียเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ร้อยละ 60 ของโลก โดยบริษัทซีรั่มอินสติติวท์ ออฟ อินเดีย ผลิตวัคซีน โควิชีลด์ ของแอสตรา เซนเนก้า และ บารัตไบโอเทค ผลิตวัคซีนโคแวกซีน เพราะบริษัทต่างๆ นั้นมีสัญญาผูกพันการส่งออกวัคซีนไปขายยังประเทศต่างๆที่วางมัดจำไว้แล้ว และเกิดเพลิงไหม้ที่โรงงานผลิตวัคซีนในเมืองปูเน่ ดังนั้นรัฐบาลอินเดียตัดสินใจสั่งระงับการส่งออกยา เรมเดสิเวียร และวัคซีนโควิด-19 แอสตราเซเนกา เพื่อสำรองใช้เองในประเทศก่อน การระงับการส่งออกยาและวัคซีนของอินเดียมีผลกระทบกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศยากจนในเอเชียและ แอฟริกา รวมทั้งอังกฤษ และบราซิล การระงับการส่งออกวัคซีนเพื่อขายให้รัฐบาลอินเดียด้วยราคาต่ำ ทำให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนของอินเดียขาดรายได้ตามที่เคยวางแผนไว้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี