มนุษย์เราต้องผจญกับโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดาของชีวิต ในสมัยโบราณ คนทั่วไปยังไม่รู้จักเชื้อโรค คิดว่าโรคภัยต่างๆ เกิดจากภูตผีปีศาจหรือกรรมเก่าที่เคยทำมา วิธีรักษาโรคทำโดยการเสกคาถา พรมน้ำมนต์ บูชายันต์ ปล่อยนกปล่อยปลา โดยมีผู้รักษาโรค คือ แพทย์หรือหมอ เช่น ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีหมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นหมอประจำพระองค์ ยาที่ใช้รักษาโรคในสมัยก่อนได้มาจากแร่ธาตุ (เช่น กำมะถัน สนิมเหล็ก น้ำปูนใส เกลือ) สัตว์ (เช่น ตับไก่ ดีงูเหลือม งาช้าง) และพืชสมุนไพร (เช่น มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก โกศจุฬาลัมพา ฟ้าทะลายโจร กระชาย ขิง ใบย่านาง ฯลฯ)
โรคติดต่อ (Communicable diseases) คือ โรคที่สามารถแพร่ระบาดต่อกันระหว่างสิ่งมีชีวิตไปได้อย่างรวดเร็ว สมัยโบราณเรียกโรคติดต่อว่า โรคห่า ซึ่งมีหลายชนิด เช่น อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ กาฬโรค หวัดใหญ่ โควิด ซาร์ส เอดส์ โรคหวัดนก โรคปากและเท้าเปื่อยในวัวควาย โรคทุเรียนรากเน่า โรคใบข้าวไหม้ ฯลฯ
โรคไม่ติดต่อ (NCD Non- Communicable disease) คือ โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ไม่สามารถแพร่กระจายสู่คนอื่นได้ แต่เกิดจากการเสื่อมสภาพของร่างกาย หรือการใช้ชีวิตอย่างไม่ระวัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดในสมองและหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง มะเร็ง โรคไต หรือ โรคอ้วน
โรคบางอย่างก็เกิดจากเชื้อโรค (Disease) เป็นจุลินทรีย์ (Microorganism) หรือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่เมื่อเข้าสู่สิ่งมีชีวิต เช่น ร่างกายมนุษย์ สัตว์ หรือพืชแล้ว อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อ (Infectious disease) ได้ เชื้อโรคบางชนิด อาจติดต่อกันได้จากการสัมผัสโดยตรงผ่านอาหาร น้ำดื่ม ลมหายใจ หรือสารคัดหลั่ง
แต่บางชนิดติดต่อผ่านพาหะตัวกลาง เช่น ยุง แมลงวัน หมัดหนู ค้างคาว เชื้อโรคมีหลายชนิด เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และพยาธิปรสิต เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายไปทั่วที่พักอาศัยได้โดยการสัมผัสผู้ติดเชื้อหรือพื้นผิวที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน
นอกจากนี้ เชื้อโรคบางชนิดยังสามารถลอยไปในอากาศโดยติดไปกับฝุ่นละอองหรือของเหลวที่กระเซ็นออกจากปากหรือจมูกของมนุษย์ในขณะไอ จาม หรือสนทนาได้ โดยแหล่งแพร่เชื้อโรค ได้แก่ อาหารและน้ำที่ปนเปื้อน ขยะ อุปกรณ์ทำความสะอาด สัตว์ต่างๆ เช่น หนู แมลงวัน ยุง และสัตว์เลี้ยง รวมทั้งคนที่มาเยือน เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ทางการกิน บาดแผล การสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ (น้ำมูก น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ อุจจาระ เลือด) การหายใจสูดดมอากาศที่มีเชื้อเข้าไปทางจมูกหรือปาก และเพศสัมพันธ์ เชื้อโรคบางชนิดสามารถกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงสภาพ ให้เหมาะกับอากาศสิ่งแวดล้อม ต่อต้านยา หรือวัคซีนป้องกันโรค
1.เชื้อแบคทีเรีย หรือ บัคเตรี (Bacteria) เป็นเชื้อโรคขนาดเล็กพวกพืชเซลล์เดียว มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายราว 1.500 เท่า อาศัยอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ทั้งใต้พื้นดิน ในน้ำ ในอากาศ รวมไปถึงตามร่างกายของพืช สัตว์และมนุษย์ สามารถขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งตัว แบคทีเรียบางชนิดสามารถสร้างเกราะ หรือชั้นเมือก หรือขนขนาดเล็ก เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวและเกาะยึด แบคทีเรียบางชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แบคทีเรียในกระเพาะอาหารที่ช่วยย่อยอาหาร แบคทีเรียในนมเปรี้ยว (แลคโตบาซิลัส)
แต่บางอย่างก็เป็นโทษทำให้เกิดการเจ็บป่วย เช่น อหิวาตกโรค (Cholera) วัณโรค(Tuberculosis) บาดทะยัก (Tetanus) เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตใน คน สัตว์ อาหาร น้ำ น้ำนม ป้องกันรักษา ด้วยการรักษาสุขภาพอนามัยและใช้ยาฆ่าเชื้อปฏิชีวนะ แอนตี้ไบโอติก (Antibiotic) เช่น เพนนิซิลิน แบคทีเรียสามารถแบ่งตัวขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว หลายล้านตัวต่อชั่วโมง สามารถบุกรุกเข้าไปยังเซลล์ของคนหรือสัตว์ ผ่านทางการกิน สูดลมหายใจ หรือบาดแผล หลบหลีกกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกาย ปล่อยสารพิษทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะของเหยื่อ จนเกิดอาการป่วยไข้
2.เชื้อไวรัส (Virus) เป็นเชื้อโรคตัวจิ๋วเล็กมากกว่าแบคทีเรียถึงร้อยเท่า ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดาไม่เห็น ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนกำลังสูง เช่น หวัด หวัดใหญ่ (Influenza) โควิด19 (Corona Disease 2019) โรคหัด คางทูม อีสุกอีใส ไข้เลือดออก ไข้ทรพิษ ไข้สันหลังอักเสบ( โปลิโอ) โรคซาร์ส โรคกลัวน้ำ (พิษสุนัขบ้า) เชื้อไวรัสนี้บางอย่างลอยอยู่ในอากาศ บางอย่างอยู่ในน้ำลายของผู้ป่วย ไวรัสเจริญเติบโตได้ด้วยการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน (Replicates) เฉพาะในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต (โฮสท์) เท่านั้น
โรคที่เกิดจากไวรัสเหล่านี้กินยาปฏิชีวนะที่รักษาโรคแบคทีเรียไม่หาย อาหารที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงแบคทีเรียใช้เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสไม่ได้ ต้องเพาะเลี้ยงไวรัสในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เช่น ถุงน้ำคร่ำของลูกไก่ หูดของกระต่ายป่า หรือ เลือดลิงชิมแปนซี ยาที่มีในปัจจุบันฆ่าเชื้อไวรัสไม่ตาย แต่อาจยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสได้ ต้องป้องกันโดยฉีดวัคซีนให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง ไวรัสจะเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้เมื่ออยู่ในสิ่งมีชีวิตและเมื่อกระจายตัวถึงจุดหนึ่งก็จะก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆ การติดเชื้อของไวรัสโควิด เกิดจากการสัมผัสละอองฝอย และการสัมผัสสารคัดหลั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส การติดเชื้อไวรัสสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนเซลล์โฮสต์ เช่น ทำให้เซลล์ตาย มีการรวมตัวของเซลล์ หรือทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ (transformation) อาจกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
ไวรัสมาจากภาษาละดิน แปลว่า พิษ หรือ ยาพิษ หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีพิษสามารถก่ออันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้ ไวรัสเป็นจุลินทรีย์ แอบแฝงหรือปรสิตอยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิตอื่น สามารถแพร่พันธุ์ หรือการถ่ายทอดสารพันธุกรรมของตนเองจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
เชื้อไวรัสมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ สารพันธุกรรม (Genetic Materials) หรือกรดนิวคลิอิก (Nucleic Acids) ที่เรารู้จักกันดีในชื่อดีเอ็นเอ (DNA Deoxyribonucleic acid) หรือ อาร์เอ็นเอ (RNA Ribonucleic acid) ห่อหุ้มด้วยโปรตีน (Nucleo Capsid) และไขมันห่อหุ้มด้านนอกสุดของเปลือกหุ้ม (Envelope) ไวรัสที่มีเปลือกหุ้มบางชนิด มีหนาม (Spike) สำหรับใช้ในการเกาะกับผิวเซลล์ เปลือกหุ้มนี้จะถูกทำลายได้ด้วยแอลกอฮอล
ไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องอาศัยร่างกายของเจ้าภาพ (โฮสต์ Host) เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ ดังนั้น เมื่อเกิดการติดเชื้อ ไวรัสจะทำการถ่ายทอดสารพันธุกรรมของตนเข้าไปภายในเซลล์ของโฮสต์ หรือเจาะทะลวงเข้าไปภายในเซลล์โดยตรง เพื่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งการและการทำงานของเซลล์ ให้ทำการจำลองสารพันธุกรรมของตนและสร้างองค์ประกอบของไวรัส ดังนั้น ภายในเซลล์ของโฮสต์ที่ติดเชื้อจึงจะมีประชากรของไวรัสเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในท้ายที่สุดเมื่อเกินขีดความสามารถในการรองรับ เซลล์ที่ถูกไวรัสรุกรานจะเกิดการระเบิดออก (Burst) ซึ่งเป็นการถูกทำลายลงอย่างถาวร
มีการค้นพบไวรัสครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2452 (ค.ศ.1899) โดย ชาวเนเธอร์แลนด์ ชื่อ มาร์ตินัส ไบเยอร์นิค (Martinus Beijernick) ในใบยาสูบด่าง และในปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสไปแล้วกว่า 6,000 ชนิด ไวรัสในพืชติดต่อกันโดยแมลงที่มาดูดกินน้ำหวานเกสร ไวรัสหวัดใหญ่และโควิดติดต่อกันทางน้ำมูกน้ำลายและสารคัดหลั่ง ไวรัสเอดส์ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ และการถ่ายเลือดหรือใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน
เชื้อไวรัสโควิด เป็นไวรัสชนิดใหม่ เพิ่งค้นพบเมื่อปลายปี พ.ศ.2562 (ค.ศ. 2019) ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แล้วระบาดไปทั่วโลก ทำให้มีคนเสียชีวิตกว่า 3 ล้านคน ไวรัสโควิดนี้สามารถกลายพันธ์ แปลงร่าง ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เป็นสายพันธุ์ต่างๆ เช่น สายพันธุ์จีน อังกฤษ บราซิล แอฟริกา แคลิฟอร์เนีย และ อินเดีย
มีการผลิตวัคซีนป้องกันโควิดหลายชนิด เช่น ของไฟเศอร์ แอสตร้า เซนเนก้า ซิโนแวค ฯลฯ ยาที่ใช้รักษาโควิดได้ผลดี คือ ฟารวิราเปีย เรมเดสสิเวียร์ และ ริโทนาเวีย สมุนไพรไทยที่ใช้ได้ดีคือ กระชายขาว และ ฟ้าทะลายโจร
3.เชื้อรา (Fungi) คือ สิ่งมีชีวิตพวกพืชที่มีขนาดและรูปร่างในหลายลักษณะ เช่นยีสต์และเห็ดรา เจริญเติบโตดีในที่ชื้นแฉะ อุณหภูมิอบอุ่น อาศัยการแบ่งตัว การขาดออกเป็นท่อน รวมไปถึงการสืบพันธุ์ด้วยสร้างสปอร์ (Spore) ที่สามารถฟุ้งกระจายไปในอากาศ เชื้อราบางชนิดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ เช่น ยีสต์ทำขนมปัง นมเปรี้ยว ผักดองเกาหลีกิมจิ น้ำปลา แหนม ไส้กรอกอีสาน เค็มบักนัด หม่ำ ปลาร้า ปลาเจ่า ปลาเฮอริ่งดอง น้ำบูดู ซีอิ๊ว ข้าวหมาก สาโท น้ำตาลเมา เหล้าสาเก เบียร ไวน์ แชมเปญ น้ำส้มสายชู กะหล่ำดองเยอรมัน เนยแข็ง ถั่วเน่า เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ปุ๋ยหมักชีวภาพ ปุ๋ยอีเอ็ม ฯลฯ
เชื้อราบางชนิด ทำให้เกิดโทษ เช่น กลาก เกลื้อน (Tinea) น้ำกัดเท้า (Athlete Foot) และเชื้อราในอาหารที่บูดเน่า การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสปอร์หรือสูดดมเชื้อราเข้าไปโดยตรง ส่งผลให้การติดเชื้อมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังและในส่วนของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการติดเชื้อจากเชื้อราในธรรมชาติเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากในร่างกายมนุษย์ที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่มักมีโอกาสพบเห็นได้บ่อยครั้งในพืชและสัตว์
4.เชื้อปรสิต (Prarasite) เป็นเชื้อโรคพวกสัตว์ขนาดใหญ่ บางอย่างมองเห็นด้วยตาเปล่า อาศัยอยู่ในร่างกายกล้ามเนื้อ ลำไส้ ตับ หัวใจ ของ มนุษย์และสัตว์ พวก เห็บเหา ไร หิด โลน พยาธิ ในมนุษย์ หมู หมา ปลา วัว ควาย ไก่ เป็ด โดย ปรสิตมี 3 ชนิด คือ
4.1 โปรโตซัว (Protozoa) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีชีวิตในธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งเจ้าภาพ แต่อาจแพร่เชื้อผ่านสัตว์เข้าไปอาศัยอยู่ในเลือดหรือเนื้อเยื่อของร่างกาย เช่น เชื้อมาลาเรีย (Plasmodium) ติดต่อผ่านยุงก้นปล่อง โรคบิด โรคท้องร่วง โรคทอกโซพลาสโมซิสที่ ติดต่อผ่านอุจาระของแมว โปรโตซัวบางชนิดสามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านเพศสัมพันธ์ได้ด้วย โพรโตซัวสามารถรุกรานเข้าสู่ร่างกายของโฮสต์ผ่านทางระบบทางเดินอาหาร ระบบหมุนเวียนเลือด และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยมีกลไกการทำงานคล้ายคลึงกับไวรัส นอกจากนี้ โพรโตซัวบางชนิดยังสามารถปล่อยเอนไซม์หรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของโฮสต์ได้อีกด้วย
4.2 หนอนพยาธิ (Helminths) เป็นปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ติดต่อผ่านการกินอาหาร เช่น หนอนพยาธิไส้เดือน (Ascariasis) พยาธิปากขอ(Hook worm) พยาธิตัวกลม (Nematodes) พยาธิตัวตืด (Casrodes) พยาธิใบไม้ในตับ (Trematodes) บางอย่างมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น เชื้อไข้จับสั่น (มาลาเรีย Plasmodium) เชื้อบิดมีตัว (Amoebiasis) เชื้ออุจจาระร่วง (Giardiasis)
3.ปรสิตภายนอกร่างกาย (Ectoparasites) เป็นปรสิตที่อาศัยและแพร่พันธุ์ตามผิวหนังภายนอก เส้นผม หรือขน เช่น เหา เห็บ หมัด ไร โลน และแมลงบางชนิด ส่วนใหญ่ปรสิตกลุ่มนี้มักดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดูดเลือดของเจ้าภาพ (โฮสต์ Host) โดยสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าและจะเกาะติดอยู่กับโฮสต์ได้นานตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน ปรสิตเหล่านี้อาจก่อให้เกิดตุ่มคัน อาการระคายเคืองตามผิวหนัง และอาจเป็นพาหะนำโรคหลายชนิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี