มีผู้ตั้งคำถามว่าช้างไทยในปัจจุบันเหลืออยู่กี่มากน้อย ทั้งช้างบ้าน และช้างป่า
คำตอบคือ ระบุจำนวนชัดๆ ได้ยากมากเพราะการเก็บสถิติประชากรช้างของไทยมีความคลาดเคลื่อนสูงมาก (นี่ขนาดช้างตัวเท่าช้างยังเก็บสถิติไม่ได้ชัดเจนเลย แล้วจะไปเชื่อถือสถิติจำนวนสัตว์อื่นๆ ได้อย่างไร) แต่ก็มีความพยายามบอกว่าช้างเลี้ยง(ช้างบ้าน) ในไทยมีจำนวนประมาณ 3,700 เชือก(อ้างตัวเลขที่จดทะเบียนกับกรมปศุสัตว์)ส่วนช้างป่าก็มีข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่ามีจำนวนประมาณ 3,200-3,450 ตัว อาศัยอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติต่างๆ ของไทย
ช้างไทยประสบปัญหาความยากลำบากและความอดอยากมานานกว่า 30 ปีแล้ว เพราะไร้ที่อยู่อาศัย และไร้แหล่งอาหารที่สมบูรณ์ดังนั้นในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมา คนไทยจึงเห็นภาพช้างบ้านถูกนำไปร่อนเร่เป็นขอทาน ส่วนช้างป่าก็ต้องถูกคนฆ่า เพราะคนอ้างว่าช้างป่าเข้าไปทำลายพืชไร่ของคน ทั้ง ๆ ที่คนนั่นแหละคือตัวการที่เข้าไปทำลายแหล่งที่อยู่และแหล่งอาหารของช้างป่า
ช้างไทยในอดีตได้รับเกียรติยศสูงส่ง เพราะเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ได้ออกศึกทำสงครามร่วมกับพระมหากษัตริย์ จึงถือว่าช้างเป็นสัตว์ประจำชาติของไทย เพราะฉะนั้นในอดีตของไทย (สยาม) จึงมีช้างเผือกอยู่บนธงประจำสยาม แต่ปัจจุบันช้างไทยกลายเป็นตัวตลกไปโดยปริยาย บางยุคเราเห็นช้างถูกทาสีเพื่อให้ดูละม้ายแพนด้า แล้วยังเห็นช้างถูกนำไปร่อนเร่เป็นขอทาน และต้องแสดงอากัปกิริยาต่างๆ นานาที่ผิดธรรมชาติของช้าง เช่น การถูกบังคับให้ยืนสองขา เป็นต้น จึงกลายเป็นว่าช้างถูกทรมานเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับคน และเพื่อหารายได้ให้กับนายทุนอย่างน่าสมเพช
ในช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ (โดยเฉพาะจีน) ไหลทะลักเข้ามาในไทย ช้างกลายเป็นสินค้าสำคัญตัวหนึ่ง เพราะถูกใช้งานเพื่อ entertain นักท่องเที่ยวเพื่อแลกกับเงินสำหรับนายทุน และค่าจ้างสำหรับเจ้าของช้างกับคนเลี้ยงช้าง โดยช้างได้อาหารเป็นเครื่องตอบแทนประจำวัน แต่ในยามที่ประเทศไทยไร้นักท่องเที่ยว เพราะวิกฤติโควิด-19 ช้างบ้านที่เคยมีงานทำก็กลายเป็นช้างตกงาน อดอยาก หิวโหย (ทั้งคนเลี้ยงช้างและช้าง) ส่วนช้างป่าก็ยังคงประสบปัญหาไร้ที่อยู่และแหล่งอาหารธรรมชาติตามเดิม เพราะผู้มีอิทธิพลเถื่อนพากันบุกรุกเข้าไปทำลายผืนป่า และทำลายแหล่งอาศัย แหล่งอาหารของช้าง
หากจะพูดถึงปัญหาของช้าง เราสามารถพูดกันได้เป็นวันๆ และพูดได้ไม่รู้จบ แต่สำหรับคอลัมน์นี้ เราจะพยายามช่วยช้าง และช่วยคนเลี้ยงช้างให้รอดพ้นจากความอดอยากหิวโหย ในยามที่สังคมไทยประสบหายนะจากโควิด-19 หากคุณๆ ติดตามคอลัมน์นี้มาอย่างต่อเนื่อง คงทราบดีแล้วว่าเราทุกคนได้พยายามช่วยช้างที่ตกทุกข์ได้ยากตลอดเวลา ตัวอย่างที่เรากำลังช่วยเหลือช้างตกยากคือช้างที่ตลาดน้ำอโยธยาพระนครศรีอยุธยา และช้างที่สตึก บุรีรัมย์รวมถึงช้างตกยากจากสถานที่อื่นๆ ที่ร้องขอความช่วยเหลือมาที่หนังสือพิมพ์แนวหน้า
สำหรับการช่วยเหลือช้างตกงาน27 เชือก ที่อยุธยานั้น เราได้ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อซื้อต้นสับปะรด จำนวนสามคันรถสิบล้อ (ล่าสุดนำต้นสับปะรดจำนวน 2 คันรถสิบล้อไปบริจาคให้ช้างแล้ว ส่วนอีกหนึ่งคันรถจะส่งมอบให้ช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ ราคาต้นสับปะรดคันรถละ 13,000 บาท) และบริจาคอ้อยให้อีกจำนวนหนึ่งคันรถบรรทุกเล็ก(ราคา 6 พันบาท) รวมถึงได้นำกล้วยหลายร้อยหวีไปมอบให้ช้าง และขณะเดียวกันก็ได้มอบอาหารแห้งและของกินเล็กๆ น้อยๆ เช่น ข้าวสาร ข้าวเหนียว หอม กระเทียม พริกแห้งปลาร้า น้ำดื่ม ขนม ให้คนเลี้ยงช้างไว้แบ่งกันรับประทาน (คนเลี้ยงช้างมีจำนวนประมาณ 70 คน) ส่วนช้างที่สตึก บุรีรัมย์ คณะของเราได้ซื้อต้นข้าวโพด หญ้าเนเปียร์ และกล้วย รวมถึงต้นสับปะรด แล้วจัดส่งไปให้เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขออนุญาตเชิญชวนคุณๆ ที่มีใจเมตตาต่อช้างและคนเลี้ยงช้างไปร่วมช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยกัน โดยคุณสามารถไปช่วยเหลือได้โดยตรงที่ตลาดน้ำอโยธยา พระนครศรีอยุธยา หรือจะร่วมสมทบทุนบริจาคเพื่อซื้ออาหารให้ช้างและคนเลี้ยงช้างผ่านหนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ โดยติดต่อที่หมายเลข 091-7233615 อันที่จริงเราพยายามจะตั้งกองทุนหาเงินเพื่อซื้อช้างแล้วมอบให้ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ต้องอาศัยการร่วมมืออย่างมหาศาล แต่เราก็ตั้งความหวังไว้ว่าจะพยายามทำให้สำเร็จทีละส่วนเพื่อให้ช้างไทยไม่ต้องตกระกำลำบากอีกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี