พ่อแม่ทุกคนต่างอยากให้ลูกน้อยที่รักเป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง ฉลาด รอบรู้ เรียนเก่ง เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี เป็นที่รักของคนรอบข้าง ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานด้วยกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้พ่อแม่จึงควรส่งเสริมสนับสนุนปัจจัยที่กระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆให้ทันต่อยุคสมัยที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจาก รศ.พญ.ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เปิดเผยว่า โดยธรรมชาติสมองของคนเราเริ่มพัฒนาตั้งแต่ตอนแม่ตั้งครรภ์ เด็กเกิดมาพร้อมกับเซลล์สมองหลายพันล้านเซลล์ที่พร้อมเจริญพัฒนาเพื่อทำหน้าที่อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปได้อีกจนตลอดชีวิต แต่ช่วงแรกเกิดถึงอายุ 5-6 ปี เป็นช่วงเวลาที่สมองมีอัตราการเจริญพัฒนาสร้างจุดเชื่อมต่อของใยประสาทเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายวงจรเพื่อให้สมองแต่ละส่วนทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ผ่านการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการกระตุ้นสมองให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ สำหรับวิธีที่จะช่วยฝึกสมองของลูกนั้น มีดังนี้
l สารอาหารที่เหมาะสมและเพียงพอสำหรับความต้องการในเด็กแต่ละวัยวัยทารกสารอาหารส่วนใหญ่ที่ลูกได้รับในแต่ละวันใช้ไปเพื่อการเจริญพัฒนาของสมอง ดังนั้นการได้รับอาหารที่ครบหมู่และสารอาหารที่ครบถ้วนจึงมีความสำคัญอย่างมาก ช่วงแรกของวัยทารกอาหารหลักเป็นนม หลังจากอายุ 1 ปี ข้าวเป็นอาหารหลัก ควรกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ สารอาหารที่สำคัญ เช่น ไอโอดีนพบในอาหารทะเล ธาตุเหล็กในสัตว์เนื้อแดง ไข่ ตับ ไขมันจากปลาทะเล โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ วิตามินและแร่ธาตุในผักผลไม้สดเป็นต้น
l นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพ ส่งผลถึงการเจริญเติบโต พัฒนาการของสมอง อารมณ์ พฤติกรรม โดยเด็กแต่ละช่วงวัยต้องการระยะเวลาการนอนที่ไม่เท่ากัน เช่น วัยทารก 13-17 ชั่วโมง และ 11-14ชั่วโมง ในเด็กอายุ 1-5 ปี หลังอายุ 4-5 ปี เด็กส่วนใหญ่ไม่ต้องนอนกลางวัน ไม่ควรให้เด็กใช้โซเชียลมีเดียหรือสื่อหน้าจอช่วงก่อนเข้านอน 1-2 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อชาร์จพลังกายและคืนความสดชื่นแจ่มใสในเช้าวันใหม่ มีสมองที่ปลอดโปร่งสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
l การเล่นที่เหมาะสมตามวัย เป็นการผ่อนคลายและเปิดโอกาสการเรียนรู้พัฒนาการในทุกๆ ด้าน นอกจากของเล่นแล้ววิธีการเล่นของผู้ปกครองที่จะเล่นกับเด็กก็มีความสำคัญไม่น้อย ที่จะส่งเสริมให้เด็กได้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการ กล้าคิด กล้าทำลองผิดลองถูก เช่น เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมหาคำศัพท์ เกมบิงโก เกมต่อจิ๊กซอว์ ฯลฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มความจำแล้ว ยังช่วยฝึกสมาธิซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ และฝึกความอดทนในการพยายามแก้ไขปัญหาอีกด้วย
l การเล่านิทาน เปิดโอกาสให้ลูกตั้งคำถาม พูดโต้ตอบ แสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นโอกาสที่เด็กจะได้พัฒนาด้านจินตนาการ การเข้าใจและการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารหรือแสดงอารมณ์ความรู้สึก การลำดับเหตุการณ์ นอกจากนี้เนื้อหาในนิทานยังมีความสำคัญในการสอนเรื่องต่างๆ เช่น การมีคุณธรรมจริยธรรม การมีน้ำใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ระเบียบวินัย การแก้ไขปัญหา เป็นต้น
l สมองดีใช้ดนตรีช่วยได้ ดนตรีไม่ได้ให้แค่ความเพลิดเพลินหรือผ่อนคลายความเครียดเท่านั้น หากแต่จังหวะและเสียงดนตรี ยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เพิ่มทักษะในด้านความจำของลูกได้เป็นอย่างดีเพราะเมื่อเด็กได้ฟังเพลง ร้องเพลงและเล่นเครื่องดนตรี ซึ่งต้องใช้ความจำในเรื่องของทำนอง เนื้อร้อง จังหวะของแต่ละบทเพลง รวมถึงการฝึกอ่านโน้ตดนตรี ล้วนแล้วแต่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพสมองและยังช่วยพัฒนาความจำให้กับลูก
l การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เด็กๆควรมีโอกาสออกไปเล่นหรือออกกำลังกายที่เคลื่อนไหวร่างกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การเจริญเติบโตสมวัย ช่วยให้นอนหลับสบาย เพิ่มความอยากกินอาหาร กระตุ้นการทำงานของสมองส่วนต่างๆ ที่ทำงานเชื่อมโยงประสานกันของสมองทั้งสองซีก เมื่อเข้าสู่วัยเรียนควรได้เล่นกีฬาที่มีกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เพื่อพัฒนาด้านการควบคุมอารมณ์ การรู้จักยับยั้งชั่งใจ สร้างสัมพันธภาพทางสังคมต่อไป
l สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ทั้งด้านกายภาพ เด็กเล็กระวังเรื่องการพลัดตกหกล้มจากที่สูงหรือสิ่งของหนักที่จะล้มลงมาทับจนเกิดการบาดเจ็บหรือได้รับอันตราย และการจมน้ำจากแหล่งน้ำในบ้าน เช่น ถังน้ำ อ่างอาบน้ำ เด็กโตระวังเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางด้วยยานพาหนะ เช่น การใช้ car seat การคาดเข็มขัดนิรภัย การสวมหมวกกันน็อก และการได้รับวัคซีนป้องกันโรค รวมทั้งการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด-19เช่น หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในที่ชุมชน สำหรับเด็กอายุมากกว่า 2 ปี ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกนอกบ้านล้างมือบ่อยๆ
l การเลี้ยงลูกเชิงบวก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากลูกได้รับการดูแลในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและมีความสุข ด้วยความรัก ความเมตตา ตั้งแต่แรกเกิดจะทำให้เกิดความรักความผูกพันกับผู้เลี้ยงดูและเกิดความมั่นคงทางอารมณ์ รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและเห็นคุณค่าของผู้อื่น รวมทั้งพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างของการไม่ใช้ความรุนแรง เห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ ให้อภัยกัน
เมื่อความสำเร็จในชีวิตของลูกไม่ได้มีสูตรตายตัว หรือเกิดจากความสามารถเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น หากยังต้องมีอีกหลายปัจจัยเข้ามาเป็นองค์ประกอบควบคู่กันไป
“พ่อแม่” จึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมและผลักดัน รวมทั้งมีพลังสมองพร้อมที่จะเรียนรู้และเติบโตเป็นคนเก่งคนดี ที่มีความสุขต่อไป
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี