ภาวะวิกฤติของสังคมปัจจุบันมาพร้อมกับความเจริญ ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายในทุกวงการโดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งภาวะวิกฤติทางสุขภาพจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กระทบต่อสภาพการเป็นอยู่ของคนทั่วโลก ทุกเชื้อชาติ ทุกวัย เป็นเหตุให้ทุกคนต้องปรับตัวกับการดำเนินชีวิตในยุค New Normalความเป็นอยู่ สภาพเศรษฐกิจเสื่อมถอย ผู้คนมากมายจึงรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้หมดกำลังใจ ซึมเศร้า กลายเป็นบุคคลที่อยู่ในภาวะวิกฤติทางอารมณ์
อารมณ์ที่อ่อนล้า ไม่เห็นค่าในตัวตนเบื่อหน่ายไม่ดิ้นรน หดหู่ ทุกข์ทน จนหมดไฟเป็นอาการภาวะหมดไฟไม่ใช่โรค แต่อาจนำไปสู่โรคต่างๆ ได้ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวลข้อมูลจาก ศ.ศรียา นิยมธรรม ประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาพิเศษในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เปิดเผยว่า ภาวะหมดไฟ (Burn Out)คือ ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงด้านจิตใจที่เกิดจากความเบื่อหน่าย ไร้แรงบันดาลใจความเครียดที่ต่อเนื่อง เรื้อรัง จนรู้สึกล้มเหลว สิ้นหวัง อ่อนแรง กระวนกระวายใจโดยเฉพาะในการทำงาน โดยมีอาการหลัก 3 ประการ คือ (1) มีความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ไร้เรี่ยวแรง รู้สึกหมดพลัง(2) มองความสามารถของตนเองในเชิงลบรู้สึกล้มเหลว ไร้ค่า มองความสัมพันธ์ในที่ทำงาน (หรือในโรงเรียน) ในทางลบ รู้สึกเหินห่างจากคนอื่น อ้างว้าง โดดเดี่ยว(3) ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
องค์การอนามัยโลกได้มีมติจากที่ประชุมพิจารณาให้ภาวะหมดไฟ เป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาในทางการแพทย์เป็นครั้งแรกในคู่มือวินิจฉัยและจัดประเภทของโรคระหว่างประเทศ ฉบับปรับปรุงครั้งที่ II (International Classification of Disorder :ICD-II) เพื่อให้เป็นมาตรฐานในการวินิจฉัยโรคและการประกันสุขภาพใหม่ทั่วโลก
วิธีสังเกตอาการจากโรคนี้ คือ อ่อนแรงรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา จึงส่งผลกระทบต่อภาวะทางอารมณ์, ขาดแรงจูงใจ, มองโลกในแง่ร้าย อารมณ์เสียง่าย, ไม่มีสมาธิ, ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง, มีปัญหากับทางบ้านหรือที่ทางาน, ไม่มีเวลาดูแลตนเอง แก้ปัญหาด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น หมกหมุ่นอยู่กับการทำงาน, มีความสุขน้อยลง, สุขภาพย่ำแย่ หรือมีปัญหาสุขภาพ เช่น ระบบการย่อยอาหาร โรคหัวใจ โรคซึมเศร้า เป็นต้น
สัญญาณเตือนภาวะหมดไฟ โดยเฉพาะภาวะหมดไฟในการทางาน พิจารณาได้จากลักษณะ 3 ด้าน คือ (1) ด้านอารมณ์ จะรู้สึกหดหู่ หงุดหงิด โมโหง่าย อารมณ์แปรปรวนไม่พอใจในงานที่ทำ ซึมเศร้า (2) ด้านความคิดได้แก่ การมองคนอื่นในแง่ร้าย โทษคนอื่นเสมอระแวง หนีปัญหามากกว่าจะจัดการกับปัญหา ไม่เชื่อในความสามารถของตนเอง (3) ด้านพฤติกรรม ได้แก่ การผัดวันประกันพรุ่ง ไม่กระตือรือร้น หุนหันพลันแล่น บริหารจัดการกับเวลาไม่ได้ ไม่อยากตื่นไปทำงานหรือไปโรงเรียนไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเรียน มาสาย ไม่มีความสุขในการทำงานหรือการเรียน
แม้ว่าภาวะหมดไฟในการทางานจะยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์เหมือนโรคอื่นๆ แต่สามารถประเมินได้จากการใช้แบบสอบถาม “Burnout Scale Test”
การป้องกันภาวะหมดไฟ
เพราะความเครียดคือสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะหมดไฟ ดังนั้น การป้องกันก็คือการดูแลจัดการกับความเครียดไม่ให้เกิดการสะสมต่อเนื่อง เรื้อรัง การจะรับมือกับความเครียดก็ต้องรู้จักและเข้าใจกับเรื่องความเครียดเสียก่อน ความแตกต่างของภาวะเครียดและภาวะหมดไฟในการทำงาน
สำหรับภาวะเครียด มีอาการ เช่น จริงจังเกินไป จดจ่อหมกหมุ่นกับการทำงานมากเกินไป,รู้สึกเร่งรีบกับเรื่องต่างๆ แทบทุกเรื่อง, ไม่มีพลังมากพอที่จะทำงานให้สำเร็จ, วิตกกังวล, ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ความดันโลหิตสูง, อาจทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ส่วนภาวะหมดไฟในการทำงาน มีอาการเช่น รู้สึกเฉยเมยกับสิ่งต่างๆ ทุกสิ่ง, ท้อแท้ สิ้นหวัง หดหู่, ไม่สนใจความช่วยเหลือจากใคร,ขาดแรงจูงใจและความคิดสร้างสรรค์, รู้สึกแปลกแยก โดดเดี่ยว เศร้าหมอง, รู้สึกคุณค่าในตนเองลดลง, ส่งผลต่ออารมณ์ เช่นเบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัว, รู้สึกเหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรง, ไม่อยากทำงาน/มีทัศนคติเชิงลบต่อการทำงาน, ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
การรักษาด้วยตนเอง มีบทความของนักวิชาการหลายๆ สาขา ได้เสนอแนะถึงการดูแลรักษาตนเองเมื่อตกอยู่ในภาวะเครียดและการอยู่ในภาวะหมดไฟ ซึ่งสรุปได้ดังนี้ คือผ่อนคลายความเครียด, หากิจกรรมอย่างอื่นทำ,งดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท,นอนพักผ่อนให้เพียงพอ, จัดระเบียบในชีวิต เรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำ,ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
สำหรับการรักษาทางจิตวิทยา จากการศึกษาวิจัยในประเทศไทย และต่างประเทศ พบว่า การฝึกความยืดหยุ่นทางอารมณ์จะสามารถช่วยในการปรับตัวได้อย่างดีเมื่อประสบกับความยุ่งยาก เจ็บปวด หรือเครียด ซึ่งความยืดหยุ่นทางอารมณ์ในประเทศไทยมีคำใช้เรียกกันหลายคำ เช่น การฟื้นพลังพลังสุขภาพจิต ความเข้มแข็งทางจิตใจ ฯลฯ คำเหล่านี้มีความหมายเดียวกัน (Resilient)
ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ เป็นความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัวสู่สภาวะปกติหลังเกิดความเครียดซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ช่วยให้คนก้าวพ้นปัญหาและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปได้ องค์ประกอบความยืดหยุ่นทางอารมณ์มี 3 ระดับ คือ (1) ด้านทนต่อแรงกดดัน คือการดูแลจิตใจให้ทนอยู่ได้ สามารถจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองได้ในสถานการณ์ที่กดดัน (2) ด้านมีกำลังใจมีเรี่ยวแรงที่จะดำเนินชีวิตต่อไปภายใต้สถานการณ์ที่กดดัน ซึ่งอาจมาจากการสร้างกำลังใจให้ตนเองหรือจากคนรอบข้าง (3) ด้านต่อสู้เอาชนะอุปสรรค มีความมั่นใจและพร้อมเอาชนะปัญหา อุปสรรคที่เกิดมาจากสถานการณ์วิกฤติ คือยังตระหนักในความสามารถของตนว่าทำได้ แก้ปัญหาได้จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาหรือการรักษานั้นจะต้องเกิดในช่วงก่อนก้าวถึงภาวะหมดไฟ
ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์
ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี