ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เปิดตัวหลักสูตร “ต้นทุนชีวิต สร้างวัคซีนชีวิตด้วยพลังบวก” (Life Assets PositiveDevelopment) หวังเป็นวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมให้เด็กไทยด้วยพลังบวก หลังพบว่า10 ปีที่ผ่านมา พลังบวกของเด็กไทยอ่อนแอลงโดยเฉพาะ “พลังชุมชน” ด้านจิตอาสา น้ำใจแบ่งปัน
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ทุนชีวิต หรือ life assetsตามความหมายจากราชบัณฑิตยสถาน ปี 2556หมายถึง คุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจ สังคม และสติปัญญาเกื้อหนุนให้เจริญเติบโตและดำรงชีพอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและมีความสุข มนุษย์มีทุนชีวิตในระดับหนึ่งมาตั้งแต่เกิด และเพิ่มขึ้นตามวัยจากการอบรมเลี้ยงดู ความรัก ความเอาใจใส่ความเข้าใจของพ่อแม่และบุคคลรอบข้าง รวมทั้งปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทุนชีวิตจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีพลังในการปรับตัวและเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้ จากนั้นได้มีการพัฒนาเรื่อยมาตลอดระยะเวลา 10 ปี เราจึงนิยามให้ต้นทุนชีวิต เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดทั้งพลังบวกและวัดจิตสำนึกทั้งต่อตนเองและสังคม หรือถิ่นที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นในเมือง หรือบนดอย หรือที่อื่นๆ โดยถอดรหัสออกมาเป็น 5 พลัง ที่จะสะท้อนตัวตนของเด็กว่า เด็กจะรู้สึกอย่างไร มีทักษะรู้คิดและจิตสำนึกอย่างไร ต่อต้นทุนชีวิตทั้ง 5 พลังนี้ได้แก่ 1.พลังตัวตัวตน (ตัวเราเอง) 2.พลังครอบครัว 3.พลังสร้างปัญญา (การสร้างพลังปัญญา อาจเกิดขึ้นจากในรั้วโรงเรียน หรือนอกรั้วโรงเรียน) 4.พลังชุมชน และ 5.พลังเพื่อนและกิจกรรม ถือเป็นเครื่องมือวัดพลังบวกแรกของประเทศไทย ซึ่งวัดเสียงสะท้อนของตัวเด็กเองว่ารู้สึกอย่างไรผ่านบริบท 5 พลังดังกล่าวข้างต้น
ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม กล่าวอีกว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านนี้ ได้มีโอกาสทำการสำรวจต้นทุนชีวิตเด็กไทย โดยช่วงปี 2552-2553 ได้ทำการสำรวจเด็กในระดับมัธยม หลายหมื่นกว่าตัวอย่างทั่วประเทศ ผ่านกลไกระบบของกระทรวงศึกษาธิการ ในสังกัด สพฐ. โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น พบภาพรวมของพลังบวก อยู่ในเกณฑ์พอใช้ คือ 69.10% และจากผลลัพธ์ในต้นทุนชีวิตทั้ง 5 พลัง กลับพบว่า “พลังชุมชน” อยู่ในเกณฑ์ที่อ่อนแอที่สุด (64.04%)โดยเฉพาะในเรื่องจิตอาสา น้ำใจ แบ่งปัน เหลืออยู่เพียงประมาณ 34% โดยในปีเดียวกันนี้เมื่อนำมาเทียบเคียงกับรายงานวิจัยร่วมกับการทำสำรวจในเด็กพิเศษ (ยกตัวอย่าง เด็กที่มีการบกพร่องทั้งการได้ยินและการมองเห็น) พบว่า เด็กเหล่านี้มีจิตอาสา น้ำใจ แบ่งปัน มากกว่าเด็กปกติถึง2 เท่า
ต่อมาในปี 2556 มีการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในเยาวชนอายุ 12-25 ปี ทั่วประเทศ จำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มเด็กในระบบการศึกษาปกติ โดย สำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม 2.กลุ่มเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางวิชาการ(ยกตัวอย่าง เด็กค่ายโอลิมปิก, เด็กที่เป็นตัวแทนการแข่งขันทางวิชาการระดับประเทศ) โดยภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ3.กลุ่มการศึกษาทางเลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ (ยกตัวอย่าง ศูนย์การเรียนม่อนแสงดาววิชชาลัย,โรงเรียนสืบสานภูมิปัญญา, มูลนิธิเด็ก ฯลฯ) โดยทีมคณะทำงานกลาง (แกนนำเยาวชนกลุ่มการศึกษาทางเลือก) ซึ่งผลลัพธ์ของพลังทุนชีวิตโดยรวม ของเด็กทั้ง 3 กลุ่มนี้ออกมาใกล้เคียงกันคือ อยู่ในระดับเกณฑ์พอใช้ถึงดี (ประมาณ 68-70%)แต่พอมาดูที่ผลลัพธ์ต้นทุนชีวิตทั้ง 5 พลัง พบว่า ภาพรวม “พลังชุมชน” ของเด็กกลุ่มที่มีความสามารถทางวิชาการ อยู่ที่ 50.45% ซึ่งค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับที่น้อยกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ ค่อนข้างมาก ในขณะที่ “พลังครอบครัว” ของเด็กกลุ่มที่มีความสามารถทางวิชาการ อยู่ที่ 82.39% ซึ่งมากกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ สิ่งนี้สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำของการศึกษาในเด็กแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน
จนกระทั่ง ปี 2562 ศูนย์คุณธรรม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยมหิดล และกระทรวงศึกษาธิการ เก็บข้อมูลใหม่ทั้งประเทศไทยอีกครั้ง พบสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด คือ “พลัง
ชุมชน” ตกทั้งพลังทั่วประเทศไทย คือค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 53.84% จึงทำให้ศูนย์คุณธรรมผลักดันหลักสูตร “ต้นทุนชีวิต สร้างวัคซีนชีวิตด้วยพลังบวก” นี้ขึ้นมา เพื่อที่จะช่วยให้องค์กร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถนำไปใช้บูรณาการ สู่การพัฒนา และเป็นวัคซีนภูมิคุ้มกันทางสังคมต่อไป
“ต้นทุนชีวิต หรือทุนชีวิต เป็นเรื่องที่สำคัญและมีความหมายมาก ถือเป็นภูมิคุ้มกันทางสังคม เรามักจะพบสมมุติฐานมากมายที่เกิดขึ้นในสังคม อย่างทุนชีวิตในครอบครัวที่ยากจนหรืออยู่ในสภาวะยากลำบาก แต่พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างมีทุนชีวิตที่แข็งแกร่ง ก็พบว่า ลูกกลายเป็นเด็กไทยหัวใจแกร่ง ตรงกันข้ามกับพ่อแม่ที่มีฐานะดี มีการศึกษาดี ไม่ได้อยู่ในสภาวะยากลำบากเลย แต่เลี้ยงลูกให้มีทุนชีวิตต่ำ ปรากฏว่าพบพฤติกรรมเสี่ยงมากมายกว่าหลายเท่าตัว
เครื่องมือทุนชีวิต จึงเป็นเครื่องมือวัดภูมิคุ้มกันทางสังคม เราจะใช้ “ทุนชีวิต” เป็น navigator เหมือนกับปรอทวัดไข้ ถ้าอยากรู้ว่าเราป่วยหรือไม่ เราใช้ปรอทวัดไข้ในการวัด เช่นเดียวกัน หากเราต้องการรู้ว่าเรามีภูมิคุ้มกันทางสังคมดีหรือไม่ เราจะใช้เครื่องมือทุนชีวิตมาวัดพลังบวก ในขณะที่วัคซีนภูมิคุ้มกันทางสังคมหนึ่งในนั้น ก็คือ ระบบพี่เลี้ยงในชุมชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างผลักดันพลังบวกขึ้นมาได้ โดยผ่านกระบวนการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งด้วยจิตวิทยาเชิงบวก ดังนั้น หลักสูตร “Life Assets ต้นทุนชีวิต” จึงเป็นหลักสูตรที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การสร้างต้นทุนชีวิต โดยใช้จิตวิทยาพลังบวก เพื่อสร้างทักษะชีวิตอย่างมีจิตสำนึกต่อตนเองและสังคม”
หนึ่งในเยาวชนตัวอย่าง ติวเตอร์ มนัสวีอานามนารถ หนุ่มน้อยจากสัตหีบที่บอกกับตัวเองว่า ต้นทุนของเขาไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์แต่เริ่มต้นจากติดลบ น้องติวเตอร์เริ่มต้นร้องเพลงเปิดหมวกหาเงินเพื่อครอบครัว และส่งตัวเองและน้องๆ เรียนตั้งแต่ ม.1 กีตาร์ตัวแรกกับเชือกฟางไปทุกๆ ตลาดในชลบุรีและระยอง และบอกกับตัวเองเสมอว่าจะพัฒนาตัวเองต่อไป เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ร้องเพลงริมถนนเยาวราช ทุกคืนวันศุกร์ เสาร์ เพื่อหาทุนการศึกษา และความตั้งใจบวกความสามารถของน้อง ทำให้มีโอกาสได้ร้องเพลงกับศิลปินที่ชื่นชอบ ว่าน-ธนกฤตที่ร่วมแจมกับน้องติวเตอร์ นักเรียนร้องเพลงเปิดหมวก หาเงินริมถนนเยาวราช กลายเป็นโมเมนต์ประทับใจ ยิ้มตามกันในโซเชียล ปัจจุบัน น้องติวเตอร์ ได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินใหม่กับค่ายเพลงน้องใหม่ ค่าย Bad Morning และมี single เพลงเขิน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564ที่ผ่านมา
ผู้ที่สนใจเข้าเรียนหลักสูตร “Life Assetsต้นทุนชีวิต” หลักสูตรออนไลน์ ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ศูนย์คุณธรรมwww.moralcenter.or.th หัวข้อหลักสูตรออนไลน์ ซึ่งยังมีหลักสูตรอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เช่น หลักสูตรกลยุทธ์การสร้างและพัฒนาองค์กรคุณธรรม, หลักสูตรการจัดการความรู้สู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และสื่อสร้างสรรค์ต่างๆ มากมาย หรือโทร.02-6449900
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี