นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสเปน และชื่นชอบเยือนเมืองมรดกโลก เมืองหนึ่งที่ต้องมานอนหลายๆ วันให้ได้ก็คือ Valencia เมืองที่อยู่ห่างจากมาดริดทางรถไฟประมาณ 1.50-2.15 ชั่วโมง เมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสาม ของสเปน รองจากมาดริดและบาร์เซโลน่านี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญอันดับ 5 ของยุโรปและเป็นเมืองท่าที่มีตู้คอนเทนเนอร์ผ่านมากที่สุดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยชาวโรมันตั้งแต่ 138 ปีก่อนคริสตกาลนี้เคยถูกครอบครองโดยชาวมัวร์มาก่อน พวกเขาจึงมีคนส่วนหนึ่งใช้ภาษา วัฒนธรรมและศาสนาตามชาวมัวร์ ต่อมาในปี 1238 พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่ง Aragon ได้พิชิตมัวร์และสถาปนาให้เมืองนี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของสเปน และนับถือศาสนาคริสต์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปนหวนกลับมามีอำนาจในเมืองอีกครั้งจึงยกเลิกสิทธิพิเศษเนื่องจากเจ้าเมือง Valencia เข้าข้างราชวงศ์ Habsburgในสงครามระหว่างสเปนกับออสเตรีย Valenciaกลับมามีความสำคัญอีกครั้งและกลายเป็นเมืองหลวงของสเปน เมื่อ Joseph Bonaparteมีอำนาจเหนือสเปนในปี 1812 และยังเป็นเมืองหลวงของสเปนในปี 1936-7 ในช่วงสงครามกลางเมืองสเปนอีกด้วย
เนื่องจากเมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2016 และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย นักท่องเที่ยวที่มีเวลาจึงควรมานอนค้างสัก 2-3 คืน เพื่อที่จะไม่เพียงได้มีโอกาสเดินเล่นในเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารที่มีสถาปัตยกรรมงดงามควรค่าแก่การถ่ายภาพเท่านั้น แต่ยังจะได้มีเวลาเข้าชมมิวเซียมและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีมานานแล้วว่า ชาวยุโรปตอนใต้ส่วนหนึ่งยังคงมีวัฒนธรรมการนอนตอนบ่าย ชาว Valencia ก็เป็นอีกชาวเมืองหนึ่งที่ยังยึดมั่นกับวัฒนธรรมนี้ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใน Valencia จึงยังมีการปิดเพื่อให้ชาวเมืองได้หยุดพักกลับบ้านไปกินข้าวและพักผ่อนตอนกลางวันอยู่วันละ 2 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวจึงต้องทำการบ้านเรื่องเวลาเปิดปิดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งร้านค้าและร้านอาหารด้วยเพื่อให้ไม่พลาดการเข้าชม การเที่ยวเมืองนี้จึงต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าเมืองอื่นๆ
Central Market
สถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นได้ง่าย อาทิ ตลาด สถานที่ก่อตั้งตลาด ณ ปัจจุบันนี้ถูกคัดเลือกมาตั้งแต่ปี 1839 เรียกว่าตลาดใหม่โดยเป็นตลาดแบบไม่มีหลังคา หรือ open air แต่สิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เทศบาลเมืองตัดสินใจก่อสร้างส่วนหลังคาใหม่ และในปี 1910 เทศบาลเมืองก็ได้คัดเลือกแบบของ Alexandre Soler และFrancesc Gaurdia Vidal สถาปนิกที่จบจากSchool of Architecture of Barcelonaเป็นผู้ออกแบบตลาดใหม่ทั้งหมด ตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปที่มีพื้นที่ 8,000 ตารางเมตรนี้ จึงได้รับการออกแบบตามแนวทางศิลปะแบบ Art Nouveau โดยใช้ทั้งเหล็ก ไม้ กระเบื้องตกแต่ง นักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวตลาด ไม่เพียงจะได้ชื่นชมกับสถาปัตยกรรมที่สวยงามน่าประทับใจแล้วยังได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตท้องถิ่น ผู้คน อาหารสดอาหารแห้ง และผักผลไม้หลากหลายที่สดใหม่และมีขนาดใหญ่โตกว่าที่พบเห็นในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกหวานมะเขือเทศ ขาหมู เห็ดทรัฟเฟิล และสตรอว์เบอร์รี่ในราคาที่ถูกแสนถูกอีกต่างหาก
นอกจากตลาดแล้ว Silk Exchange หรือ Llotja de la Seda ยังเป็นอาคารอีกแห่งที่อยู่ใกล้กันที่น่าสนใจ อาคารที่ถูกปลูกสร้างตามแนวทางศิลปะแบบ Valencian Gothicตั้งแต่ปี 1482 นี้ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือส่วน Main Hall อันเป็นศูนย์กลางของการค้าที่พ่อค้าใช้ทำการซื้อของ ส่วนปีกที่มีชื่อว่าPavilion of the Consulate เป็นที่ตั้งของการท่าเรือ อาคารที่มีหลังคาทำจากไม้ลวดลายปิดทองสวยงามนี้เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่สามารถสามารถเข้าชมได้ฟรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี