สำหรับคนอเมริกัน ฟลอริดา เหมือนสวรรค์บนดินเลยก็ว่าได้เพราะเป็นรัฐที่ใครๆ อยากไปอยู่ อากาศดี ไม่หนาวเกินไปเป็นรัฐที่อเมริกันที่อาศัยในรัฐเขตหนาวอยากย้ายไปอยู่มากที่สุดเพราะเบื่อหน่ายกับความหนาวเหน็บเจ็บกระดูกทุกฤดูหนาวแถมยังชายหาดสะสวยให้น่าไปเที่ยวฟลอริดาจึงเป็นรัฐที่น่าอยู่สำหรับคนอเมริกันบางคนตั้งใจว่าจะขายทุกสิ่งอย่างแล้วไปอยู่ฟลอริดาในบั้นปลายชีวิต
สำหรับคนไทยนั้นไม่ต้องพูดถึงใครได้อยู่ฟลอริดาถือว่าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ปลูกผักหญ้าผลไม้เมืองร้อนก็ขึ้น เรียกได้ว่าไม่มีอดไม่เหมือนรัฐเขตหนาวที่อดอยากปากแห้งตลอดทั้งปีทั้งชาติอากาศหรือก็ร้อนชื้นแบบเมืองไทยไม่ต้องห่มคลุมหลายชั้นเหมือนโซนหนาว
แต่ตอนนี้ฟลอริดากลายเป็นรัฐยอดป่วยโควิดพุ่งสูงลิ่วตอนเกิดการระบาดครั้งแรกปีกลายฟลอริดาก็ติดอันดับหนึ่งในห้าของรัฐที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตสูงสุดพอเกิดการระบาดอีกรอบ ปรากฏว่าหนนี้หวยออกที่ฟลอริดาอีกหนแถมสาหัสกว่าบรรดารัฐที่เคยเต็งห้ามาด้วยกันเสียด้วยเห็นยอดป่วยแต่ละวันต้องยกมือทาบอกแม้จะไม่สูงโด่งเท่ายอดการระบาดรอบแรก แต่ก็น่าวิตกกังวลไม่ใช่น้อย
มาดูสถานการณ์ทั่วไปในอเมริกาสัปดาห์นี้กันมีการรายงานข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกให้โลกจนหลายคนคิดว่าเป็นข่าวปลอม แต่ล่าสุดซีดีซียอมรับว่านี่คือข่าวจริงนั่นคือสายพันธุ์เดลต้าสามารถติดต่อได้ง่ายพอๆ กับโรคอีสุกอีใสสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็วและติดง่ายกว่าไข้หวัดสามารถแพร่กระจายเชื้อได้แม้กระทั่งจากคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว
นอกจากนี้ซีดีซียังเผยแพร่ข้อมูลที่น่าตกใจอีกเรื่องนั่นคือผลการวิจัยหนึ่งซึ่งศึกษาการแพร่ระบาดในรัฐแมสซาชูเซตส์ พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อ เป็นกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแล้วแม้การระบาดรอบนี้ระบาดหนักในรัฐทางใต้ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นลุยเซียนา อาร์คันซอ และฟลอริดา แต่ดูเหมือนว่าฟลอริดาจะนำโด่งอย่างไม่มีรัฐไหนแซงได้และคงไม่มีรัฐไหนอยากแซงอันดับในเรื่องยอดป่วยโควิด
ส่วนรัฐอื่นๆ ก็ลุกขึ้นสะบัดเนื้อตัวพรึ่บพรั่บเตรียมตัวรับสถานการณ์สายพันธุ์เดลต้าผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์บังคับพนักงานด้านการขนส่งเจ้าหน้าที่เรือนจำ บุคลากรตามโรงพยาบาลต่างๆ และเจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักคนชราต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเป็นประจำนายกเทศมนตรีเมืองเดนเวอร์บังคับฉีดวัคซีนลูกจ้างของเมืองที่มีมากกว่า11,000 คน
อาทิตย์ก่อนเล่าถึงความเบียวของผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ทั้งๆ ที่ยอดป่วยพุ่งปริ๊ดขนาดวันละสองหมื่นกว่าพี่แกก็ยังไม่ยอมออกคำสั่งใส่หน้ากาก แถมคัดค้านการให้ประชาชนสวมหน้ากากและฉีดวัคซีน
คือค้านทั้งใส่หน้ากากและฉีดวัคซีนว่างั้น แถมห้ามไม่ให้โรงเรียนต่างๆ บังคับให้นักเรียนใส่หน้ากากไปเรียนด้วย ..นั่น..เอาเข้าไปโดยให้เหตุผลว่าควรให้บรรดาผู้ปกครองควรเป็นคนตัดสินใจแทนเด็กๆ ในเรื่องนี้
หนักหนาสาหัสกว่านั้นเจ้าหน้าที่เคาน์ตี้ไหนให้นักเรียนสวมหน้ากากไปโรงเรียน รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา สังกัดพรรครีพับลิกันขู่ฟ่อว่าจะตัดเงินงบประมาณทั้งที่ยอดผู้ป่วยท่วมโรงพยาบาลแล้วเวลานี้ สาหัสขนาดไหนคิดดูสิว่ายอดคนไข้โควิดในโรงพยาบาลที่ฟลอริดา คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของคนไข้โควิดทั้งประเทศแถมตอนนี้คนป่วยไม่ใช่เป็นคนสูงอายุอีกต่อไปแล้วแต่ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาวหลายโรงพยาบาลในฟลอริดาประกาศงดรับเคสคนไข้อื่นงดให้บริการผ่าตัดที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน เพื่อเอาเตียงคนไข้ให้ผู้ป่วยโควิด
ท่านผู้ว่าการรัฐฟลอริดาให้เหตุผลที่แม้แต่หมอเฟาซีฟังแล้วยังต้องปากอ้าตาค้าง พี่แกบอกว่าไอ้ที่เห็นว่ายอดป่วยเพิ่มสูงขึ้นนะ เป็นเพราะอากาศร้อนจนทำให้คนหลบแต่ในบ้าน พอเปิดแอร์ เชื้อโรคเลยกระจายอยู่ในบ้านทำให้ไวรัสหมุนเวียนในอากาศ เอ๊ะ..นี่เรียนจบมาทางไหนเนี่ย พี่หมอเฟาซียังอาย
ทั้งที่ระบาดกันระเบิดระเบ้อขนาดนี้จนมีการให้กลับมาสวมหน้ากากอีกครั้งหลายแห่งบังคับให้ทุกคนแสดงบัตรฉีดวัคซีนอย่างเมืองนิวยอร์กบังคับแสดงหลักฐานพิสูจน์ผ่านการฉีดวัคซีนโควิด หากต้องการเข้าไปในร้านอาหาร สถานออกกำลังกาย และธุรกิจอื่นๆ
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นไล่พนักงานออก 3 คนเพราะไม่ได้ฉีดวัคซีนเช่นเดียวกับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ในนั้นรวมถึงเฟซบุ๊คและกูเกิลเผยว่าจะบังคับพนักงานฉีดวัคซีน สายการบินหลักๆ อย่างเดลตาแอร์ไลน์ส และยูไนเต็ด แอร์ไลน์สต่างบังคับพนักงานแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน งานนี้คงฟ้องยากเพราะรัฐบาลสหรัฐฯระบุว่าเป็นเรื่องชอบธรรมตามกฎหมายสำหรับนายจ้างที่จะบังคับพนักงานที่เข้ามาในสถานที่ทำงาน ฉีดวัคซีนโควิด
แทนที่คนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีนจะไปฉีดวัคซีนแต่โดยดีซึ่งไม่ได้ยากอะไรแค่เดินไปที่ร้านขายยาหรือซูเปอร์มาร์เก็ตก็ฉีดได้ทันทีแต่พวกนี้กลับไม่ฉีด จนมีเคสแปลกๆ เกิดขึ้นทั่วอเมริกา
มาดูเคสนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาไม่ยอมฉีดวัคซีนแต่หาทางออกด้วยการจะไปซื้อใบฉีดวัคซีนปลอม
ยุคแรกนี่ได้ยินว่าขายกันใบละ 20 ดอลล์ (600 บาท) นะตอนนี้มีพัฒนาการ..ขายกันสูงถึง 200 ดอลล์ (6,000 บาท) แบบนี้ยูไปฉีดวัคซีนไม่ดีกว่าเหรอ ง่ายกว่าแถมฟรีด้วย
อีกเคส ผู้โดยสารอเมริกันบินไปแคนาดา แต่ไม่ยอมฉีดวัคซีนเลยต้องหาทางออกเพราะสายการบินบังคับให้ทุกคนต้องแสดงบัตรฉีดวัคซีนทางออกของคู่นี้คือไปซื้อบัตรฉีดวัคซีนปลอมมายื่นให้แต่เจ้าหน้าที่สนามบินแคนาดาจับได้ ผลคือถูกปรับเงินคนละเกือบ 16,000 ดอลลาร์ หรือราว 5 แสนบาท
อย่างที่บอกแหละว่า พวกที่ไม่ยอมใส่หน้ากากและไม่ฉีดวัคซีนส่วนมากเป็นกลุ่มพวกสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เตือนว่าบัตรรับรองปลอมการฉีดวัคซีนว่อนสื่อสังคมออนไลน์และเว็บบอร์ดต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของกลุ่มคนต่อต้านวัคซีนและบรรดาผู้สนับสนุนของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขียนคำแนะนำวิธีทำบัตรวัคซีนปลอมเอาไว้อย่างดิบดี เช่น ควรใช้กระดาษที่มีความหนาเท่าไหร่ ถึงจะเหมือนใบฉีดวัคซีนจริง
กระทรวงยุติธรรมอเมริการวบตัวหมอรายหนึ่งในแคลิฟอร์เนียเพราะทำบัตรฉีดวัคซีนปลอมให้คนไข้ว่าผ่านการฉีดวัคซีนของโมเดอร์นาแล้วนี่ขนาดโควิดระบาดจนป่วยกันวันละแสนกว่าเข้าไปแล้วเกือบแตะระดับเดียวกับช่วงที่พีคสุดๆ เมื่อปีกลายบรรดาอเมริกันก็ยังทำหน้ามึนไม่สนวัคซีนทั้งที่คนไทยบูชาเทพไฟเซอร์ เทพโมเดอร์นากันอย่างหนักน่าเสียดายและเสียของจริงๆ
ความร้ายกาจของเดลต้านี่เจาะเกราะแตกทุกด้านและทุกด่านใช้เวลาแค่ 9 เดือนเองในการแพร่เชื้อจากเดือนพฤศจิกายนมีคนป่วยรายวันเฉลี่ยวันละแสนรายจนพุ่งไปถึงสองแสนห้าหมื่นรายในเดือนมกราคม พอวัคซีนมาคนเริ่มไปฉีด ยอดเลยลดลงในเดือนมิถุนายนเหลือแค่หมื่นคนต่อวัน
ตอนนี้ไต่ระดับมาแบบจัดหนัก แค่ 6 อาทิตย์แตะเพดานวันละแสนกว่าอีกแล้วบอกตรงๆ เลยว่า นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าภาวะการระบาดของโรคจะจบลงตรงไหนจะหยุดที่เดลต้าหรือจะมีพันธุ์ใหม่เมดอินยูเอสเอกลายพันธุ์ระบาดขึ้นมาอีกหากเกิดการกลายพันธุ์ กลัวว่าวัคซีนที่มีอยู่ในตอนนี้จะต้านไม่อยู่ซ้ำอเมริกันยังไม่ยอมทำตามกฎระเบียบไม่รักษาระยะห่างไม่ใส่หน้ากากอะไรทั้งนั้น นี่หมายถึงความหายนะอย่างแท้จริง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี